TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
สอนเทรดมือใหม่

การวิเคราะห์คลื่นใน Forex คืออะไร?

กรกฎาคม 11, 2022

เปิดโลกการวิเคราะห์คลื่น Elliott Wave: เข้าใจจังหวะตลาดเพื่อการเทรดอย่างมืออาชีพ

ในโลกของการลงทุนและการวิเคราะห์ตลาดการเงิน ทฤษฎี Elliott Wave ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการทำความเข้าใจพฤติกรรมของราคา ซึ่งสามารถนำไปสู่การคาดการณ์แนวโน้มในอนาคตได้อย่างมีนัยสำคัญ บิดาผู้ให้กำเนิดทฤษฎีนี้คือ Ralph Nelson Elliott นักบัญชีและนักวิเคราะห์ผู้ทุ่มเทให้กับการศึกษาแผนภูมิราคาอย่างลึกซึ้ง โดยค้นพบว่าการเคลื่อนไหวของราคาในตลาดไม่ได้เป็นไปอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า แต่กลับมีโครงสร้างและรูปแบบที่ชัดเจน ซึ่งเขาได้นิยามว่าเป็น “คลื่น” (Waves) การวิเคราะห์คลื่นจึงเป็นศาสตร์ที่อธิบายถึงรูปแบบราคาและเหตุผลเบื้องหลังการปรากฏของรูปแบบเหล่านั้นบนแผนภูมิราคา ทำให้เทรดเดอร์สามารถมองเห็นภาพรวมและทิศทางการเคลื่อนที่ของตลาดได้กว้างขางขึ้น

อินดิเคเตอร์ Parabolic SAR ไข่ปลา คืออะไร

แก่นแท้ของทฤษฎี Elliott Wave: คลื่นแห่งโมเมนตัมและการแก้ไข

หัวใจสำคัญของทฤษฎี Elliott Wave คือแนวคิดที่ว่าการเคลื่อนที่ของราคาในตลาดสามารถแบ่งออกได้เป็นสองประเภทหลักๆ ได้แก่ คลื่นโมเมนตัม (Motive Waves) และ คลื่นการแก้ไข (Corrective Waves) การทำความเข้าใจโครงสร้างและบทบาทของคลื่นแต่ละประเภทเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการประยุกต์ใช้ทฤษฎีนี้ในการเทรด

คลื่นโมเมนตัม (Motive Waves): แรงขับเคลื่อนหลักของแนวโน้ม

คลื่นโมเมนตัมคือคลื่นที่ขับเคลื่อนราคาไปในทิศทางของแนวโน้มหลัก โดยมีโครงสร้างที่ชัดเจน ประกอบด้วย 5 คลื่นย่อยเสมอ (ตามภาพที่ 1) คลื่นเหล่านี้ถูกเรียกว่า “โมเมนตัม” เนื่องจากเป็นตัวสร้างและรักษากำลังของแนวโน้มนั้นๆ หากเป็นแนวโน้มขาขึ้น คลื่นโมเมนตัมจะผลักดันราคาให้สูงขึ้น หากเป็นแนวโน้มขาลง คลื่นโมเมนตัมจะกดดันราคาให้ต่ำลง

  • **คลื่น 1, 3, 5:** เป็นคลื่นที่เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มหลัก ตัวอย่างเช่น หากตลาดอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น คลื่น 1, 3, 5 จะเป็นคลื่นที่ดันราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและชัดเจน โดยคลื่น 3 มักจะเป็นคลื่นที่ยาวที่สุดและทรงพลังที่สุด แสดงถึงช่วงเวลาที่แนวโน้มนั้นแข็งแกร่งที่สุด
  • **คลื่น 2, 4:** เป็นคลื่นที่เคลื่อนที่ในทิศทางตรงกันข้ามกับแนวโน้มหลัก โดยทำหน้าที่เป็นคลื่นการแก้ไขเล็กน้อย (Retracement) จากคลื่นโมเมนตัมก่อนหน้า ตัวอย่างเช่น ในแนวโน้มขาขึ้น คลื่น 2 จะเป็นการย่อตัวลงเล็กน้อยหลังคลื่น 1 และคลื่น 4 จะเป็นการย่อตัวลงเล็กน้อยหลังคลื่น 3 การย่อตัวเหล่านี้ไม่ควรที่จะกลับตัวเกินจุดเริ่มต้นของคลื่นก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อรักษาสภาพของแนวโน้มหลักไว้

เหตุใดจึงเป็น 5 คลื่น? Elliott สังเกตว่าพฤติกรรมของมวลชนในตลาดมักจะแสดงออกเป็นสามขั้นตอนของการดำเนินการหลัก (คลื่น 1, 3, 5) และสองขั้นตอนของการพักตัว (คลื่น 2, 4) ซึ่งสะท้อนถึงวัฏจักรทางจิตวิทยาของความคาดหวัง ความตื่นเต้น การทำกำไร และความผิดหวัง

คลื่นการแก้ไข (Corrective Waves): การพักตัวก่อนไปต่อ

คลื่นการแก้ไขคือคลื่นที่เคลื่อนที่ในทิศทางตรงกันข้ามกับแนวโน้มหลัก โดยมีโครงสร้างที่ซับซ้อนน้อยกว่าคลื่นโมเมนตัมและประกอบด้วย 3 คลื่นย่อยเสมอ (ตามภาพที่ 1) คลื่นการแก้ไขมักจะถูกเรียกว่า “การปรับฐาน” เพราะเป็นการปรับสมดุลของตลาดหลังจากช่วงที่ราคาเคลื่อนที่อย่างรุนแรงด้วยคลื่นโมเมนตัม

  • **คลื่น A, B, C:** เป็นโครงสร้างพื้นฐานของคลื่นการแก้ไข โดยคลื่น A และ C จะเคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงกันข้ามกับแนวโน้มหลัก ในขณะที่คลื่น B จะเป็นการฟื้นตัวชั่วคราวในทิศทางเดียวกับแนวโน้มหลักเดิมก่อนที่จะเกิดคลื่น C ที่กดดันราคาต่อไป การทำความเข้าใจรูปแบบการแก้ไขเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะบ่อยครั้งที่เทรดเดอร์มือใหม่มักสับสนระหว่างการย่อตัวของการแก้ไขกับการกลับตัวของแนวโน้ม
ประเภทของคลื่น Elliott Wave

วัฏจักรคลื่นและการเชื่อมโยงของกรอบเวลา

สิ่งที่ทำให้ Elliott Wave Theory โดดเด่นคือหลักการที่ว่ารูปแบบคลื่นเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว แต่มีการเชื่อมโยงและทำซ้ำกันในทุกระดับของกรอบเวลา (Timeframe) ไม่ว่าจะเป็นกราฟรายนาที รายชั่วโมง รายวัน หรือรายปี หลักการนี้เรียกว่า “Fractal Nature” ของตลาด

โครงสร้างวัฏจักร 8 คลื่นที่สมบูรณ์

โดยรวมแล้ว คลื่นโมเมนตัมห้าคลื่น (1-2-3-4-5) จะสร้างคลื่นโมเมนตัมขนาดใหญ่ขึ้นในกรอบเวลาที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งจากนั้นจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของคลื่นโมเมนตัมที่ใหญ่ยิ่งขึ้นไปอีก (ตามภาพที่ 1 และ 2) และเมื่อคลื่นโมเมนตัม 5 ลูกจบลง ก็จะตามมาด้วยคลื่นการแก้ไข 3 ลูก (A-B-C) ที่เคลื่อนที่ตรงกันข้ามกับแนวโน้มหลัก

ดังนั้น วัฏจักรการซื้อขายที่สมบูรณ์ตามทฤษฎี Elliott Wave จึงประกอบด้วยคลื่นทั้งหมด 8 คลื่น ได้แก่ คลื่นโมเมนตัม 5 คลื่นตามแนวโน้มและคลื่นการแก้ไข 3 คลื่นที่สวนทางกับแนวโน้ม เมื่อวัฏจักร 8 คลื่นนี้สิ้นสุดลง อีกวัฏจักรหนึ่งก็จะเริ่มต้นขึ้นทันที โดยมีโครงสร้าง 5 คลื่นขึ้นและ 3 คลื่นลงเช่นเดิม

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ต้องจดจำคือ แม้ว่าโครงสร้างของวัฏจักรจะคงเดิม (8 คลื่น) แต่แอมพลิจูด (ขนาดของการเคลื่อนที่) และความยาว (ระยะเวลา) ของคลื่นในแต่ละวัฏจักรอาจแตกต่างกันอย่างมาก ขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดและกรอบเวลาที่พิจารณา หลักการสำคัญของทฤษฎี Wave คือการที่ราคาพัฒนาเป็นคลื่น 5 คลื่นในกรอบเวลาที่เล็กกว่า เมื่อเป็นส่วนหนึ่งของคลื่นในกรอบเวลาที่ใหญ่ขึ้น และการดึงกลับของคลื่นในกรอบเวลาที่ใหญ่ขึ้นจะประกอบด้วยคลื่น 3 คลื่นในกรอบเวลาที่เล็กกว่าเสมอ

วัฏจักรคลื่น Elliott Wave

การสังเกตของ Elliott: กฎแห่งการเคลื่อนที่ของตลาด

Elliott เองไม่ได้ระบุเหตุผลเชิงทฤษฎีที่แน่ชัดว่าทำไมการเคลื่อนไหวของตลาดจึงต้องประกอบด้วยคลื่น 8 คลื่น (โมเมนตัม 5 และการแก้ไข 3) แต่เขาเพียงแต่กล่าวว่านี่คือสิ่งที่ “ทำงาน” จากการสังเกตแผนภูมิราคาอย่างต่อเนื่อง เขาได้ข้อสรุปว่าโครงสร้างคลื่นทั้งแปดนี้เป็นรูปแบบขั้นต่ำที่จำเป็นเพื่อให้ตลาดสามารถพัฒนาแนวโน้มพร้อมกับการปรับฐานที่เกิดขึ้นตามมา

หลักการที่สำคัญที่สุดที่ Elliott ย้ำเตือนคือ ไม่ว่าจะเป็นตราสารใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นทองคำ (กราฟทองคำ), คู่สกุลเงินหลักอย่าง EUR/USD (คู่เงิน Forex) หรือสินทรัพย์อื่นๆ ตลาดจะเคลื่อนที่ในสองทิศทางเสมอ: โดยแนวโน้ม (Trend) และสวนทางกับแนวโน้ม (Counter-trend) ไม่มีข้อยกเว้น แม้ในสภาวะที่ตลาดดูเหมือนจะเคลื่อนที่ในแนวนอน (Sideways หรือ Flat) ก็ยังคงมีการเด้งขึ้นและลงอย่างอ่อนๆ ซึ่งยังคงเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างคลื่นขนาดเล็กที่ Elliott ค้นพบ

ข้อดีและข้อเสียของการวิเคราะห์คลื่น Elliott Wave สำหรับเทรดเดอร์

การวิเคราะห์คลื่น Elliott Wave เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่ก็มีความซับซ้อนและมีลักษณะเฉพาะที่เทรดเดอร์ควรทำความเข้าใจก่อนนำไปใช้ การประยุกต์ใช้ทฤษฎีนี้มีทั้งข้อดีที่โดดเด่นและข้อเสียที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ

ข้อดีของการวิเคราะห์คลื่น

  1. **วิเคราะห์ราคาโดยตรง ไม่ใช่อนุพันธ์:** การศึกษา Elliott Wave เป็นการวิเคราะห์พฤติกรรมของราคาตลาดด้วยตัวมันเองโดยตรง ซึ่งแตกต่างจากการพึ่งพาเครื่องมือหรืออินดิเคเตอร์อื่นๆ (อินดิเคเตอร์) ซึ่งเป็นเพียงอนุพันธ์ของราคา วิธีนี้ช่วยให้เทรดเดอร์เข้าใจแก่นแท้ของการเคลื่อนที่ของราคาได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
  2. **กำหนดเป้าหมายราคาได้ชัดเจน:** ด้วยความเข้าใจในโครงสร้างของคลื่น เทรดเดอร์สามารถคาดการณ์ได้ว่าคลื่นการแก้ไขครั้งต่อไปคาดว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใดและคลื่นโมเมนตัมลูกถัดไปจะเริ่มต้นที่จุดใด สิ่งนี้ช่วยให้สามารถกำหนดจุดทำกำไร (Take Profit) และจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ได้อย่างมีหลักการและแม่นยำยิ่งขึ้น
  3. **เห็นภาพรวมตลาดในทุกขนาด:** ทฤษฎี Elliott Wave มีลักษณะเป็น Fractal ซึ่งหมายความว่ารูปแบบคลื่นจะทำซ้ำในทุกกรอบเวลา ตั้งแต่กราฟรายนาทีไปจนถึงกราฟรายเดือน การวิเคราะห์คลื่นช่วยให้เทรดเดอร์สามารถมองเห็นภาพรวมของตลาดในมุมมองที่กว้างขึ้นและเข้าใจความสัมพันธ์ของแนวโน้มในกรอบเวลาต่างๆ กัน ทำให้การตัดสินใจเทรดมีข้อมูลประกอบที่ครอบคลุม
  4. **สร้างกลยุทธ์การซื้อขายเฉพาะตัว:** จากความเข้าใจในโครงสร้างและพฤติกรรมของคลื่น เทรดเดอร์สามารถนำหลักการ Elliott Wave มาเป็นพื้นฐานในการพัฒนากลยุทธ์การซื้อขาย (กลยุทธ์การเทรด Forex) ของตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดกฎการเข้าและออกจากการเทรด การจัดการอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (การบริหารความเสี่ยง) การเลือกกรอบเวลาที่เหมาะสม และอื่นๆ

ข้อเสียของการวิเคราะห์คลื่น

  1. **ความยากและความซับซ้อนในการเรียนรู้:** Elliott Wave เป็นวิธีการวิเคราะห์ที่ค่อนข้างยากและต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจและเชี่ยวชาญอย่างน้อยหกเดือน หรืออาจเป็นปี กว่าจะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงระดับที่ยอมรับได้ ซึ่งต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างหนักและการวิเคราะห์แผนภูมิอย่างสม่ำเสมอ
  2. **ความเป็นอัตนัย (Subjectivity) สูง:** ข้อเสียที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งคือความเป็นอัตนัยของวิธีการนี้ เทรดเดอร์แต่ละคนอาจตีความและวาดคลื่นบนแผนภูมิเดียวกันและในกรอบเวลาเดียวกันแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ความรู้ และมุมมองส่วนตัว หากวิธีการนี้แม่นยำจริง เหตุใดนักเทรดจึงทำเครื่องหมายคลื่นไม่เหมือนกัน? คำตอบคือ ทุกคนใช้ประสบการณ์และความรู้ของตนเองในการตีความ ความแม่นยำในการนับคลื่นของคุณจึงเกี่ยวข้องโดยตรงกับประสบการณ์การซื้อขายของคุณ เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์จะรู้ดีว่าจะออกจากจุดไหนก่อนที่จะเข้าสู่การเทรดครั้งต่อไป สิ่งนี้ทำให้การเรียนรู้จากผู้อื่นหรือการทำงานร่วมกันอาจเป็นเรื่องท้าทาย เนื่องจากอาจมีความขัดแย้งในการตีความ

แม้ว่าการวิเคราะห์คลื่น Elliott Wave จะมีความซับซ้อนและต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ แต่ก็เป็นเครื่องมือที่มีคุณค่าสำหรับผู้ที่ต้องการทำความเข้าใจโครงสร้างและพฤติกรรมของตลาดในเชิงลึก การลงทุนในความรู้และประสบการณ์จะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถใช้ทฤษฎีนี้เพื่อพัฒนาศักยภาพในการซื้อขายได้อย่างยั่งยืน

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับ Elliott Wave Theory

Elliott Wave Theory คืออะไร?

Elliott Wave Theory คือทฤษฎีการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่อธิบายว่าการเคลื่อนไหวของราคาในตลาดการเงินไม่ได้เป็นไปอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า แต่เป็นไปตามรูปแบบคลื่นที่ทำซ้ำกัน โดยแบ่งออกเป็นคลื่นโมเมนตัม (Motive Waves) 5 คลื่น และคลื่นการแก้ไข (Corrective Waves) 3 คลื่น ซึ่งรวมกันเป็นวัฏจักร 8 คลื่นที่สมบูรณ์

Ralph Nelson Elliott คือใคร?

Ralph Nelson Elliott คือนักบัญชีและนักวิเคราะห์ชาวอเมริกัน ผู้สร้างและพัฒนาทฤษฎี Elliott Wave เขาใช้เวลาหลายปีในการศึกษาแผนภูมิราคาและค้นพบรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคาที่ซ้ำกัน ซึ่งเขาเชื่อว่าสะท้อนถึงจิตวิทยาของมวลชนในตลาด

คลื่นโมเมนตัมและคลื่นการแก้ไขแตกต่างกันอย่างไร?

คลื่นโมเมนตัม (Motive Waves) ประกอบด้วย 5 คลื่นย่อย (1-2-3-4-5) และเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มหลักของตลาด ในขณะที่คลื่นการแก้ไข (Corrective Waves) ประกอบด้วย 3 คลื่นย่อย (A-B-C) และเคลื่อนที่ในทิศทางตรงกันข้ามกับการเคลื่อนที่ของคลื่นโมเมนตัม โดยเป็นการปรับฐานของราคา

Elliott Wave Theory ใช้ได้กับตลาดใดบ้าง?

ทฤษฎี Elliott Wave สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับตลาดการเงินทุกประเภทโดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ (ตลาดทองคำ) หรือตลาด Forex (ตลาด Forex) เนื่องจากหลักการพื้นฐานของทฤษฎีนี้อยู่บนพื้นฐานของจิตวิทยามนุษย์และพฤติกรรมของมวลชน ซึ่งเป็นสากลในทุกตลาด

ทำไม Elliott Wave Theory ถึงมีความเป็นอัตนัย?

Elliott Wave Theory มีความเป็นอัตนัยสูงเนื่องจากไม่มีกฎเกณฑ์ที่ตายตัวสำหรับการนับคลื่นที่ถูกต้องเพียงแบบเดียว การตีความคลื่นขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ความรู้ และดุลยพินิจของเทรดเดอร์แต่ละคน ซึ่งอาจทำให้ผลการวิเคราะห์แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ทำให้ต้องใช้เวลาและประสบการณ์ในการเชี่ยวชาญ

บทสรุป: Elliott Wave กุญแจสู่ความเข้าใจตลาดเชิงลึก

การวิเคราะห์คลื่น Elliott Wave ถือเป็นศาสตร์ที่ลึกซึ้งและท้าทาย แต่ให้ผลตอบแทนอันทรงคุณค่าสำหรับเทรดเดอร์และนักลงทุนที่พร้อมทุ่มเทเวลาเพื่อเรียนรู้และทำความเข้าใจ ด้วยการมองเห็นรูปแบบที่ซ่อนอยู่ในการเคลื่อนไหวของราคา คุณจะไม่เพียงแค่ “เห็น” ว่าตลาดกำลังจะไปในทิศทางใด แต่ยังเข้าใจ “ทำไม” และ “อย่างไร” ที่มันเคลื่อนที่ไปในทิศทางนั้นๆ แม้จะมีข้อจำกัดเรื่องความเป็นอัตนัยและความซับซ้อน แต่ประโยชน์ที่ได้รับจากการเป็นผู้ที่มีความเข้าใจในโครงสร้างของตลาดอย่างแท้จริงนั้นไม่อาจประเมินค่าได้ ท้ายที่สุดแล้ว ความสำเร็จในการซื้อขายใดๆ ก็ตาม ไม่ใช่แค่ทฤษฎี Wave เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการวิเคราะห์ตลาดประเภทอื่นๆ ล้วนต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องและไม่ย่อท้อ หากคุณพร้อมที่จะยกระดับการวิเคราะห์ตลาดของคุณไปอีกขั้น การศึกษา Elliott Wave Theory คือก้าวสำคัญที่คุณไม่ควรมองข้าม

You Might Also Like

Contact Us on Line