TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
แจก EA & อินดิเคเตอร์

การเทรดรูปแบบกราฟ Forex ด้วย double top และ double bottom

สิงหาคม 1, 2022

การเทรด Forex ด้วยรูปแบบกราฟ Double Top และ Double Bottom: กลยุทธ์การกลับตัวที่นักเทรดไม่ควรมองข้าม

ในการเทรด Forex หนึ่งในทักษะที่สำคัญที่สุดคือความสามารถในการอ่านและทำความเข้าใจรูปแบบกราฟราคา รูปแบบกราฟกลับตัว (Reversal Chart Patterns) อย่าง Double Top และ Double Bottom ถือเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงทิศทางของตลาด บทความนี้จะเจาะลึกถึงรายละเอียดของรูปแบบเหล่านี้ วิธีการก่อตัว วิธีการเทรดที่ถูกต้อง และข้อควรระวังต่างๆ เพื่อให้นักเทรดสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการสร้าง กำไร ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

Double Top: สัญญาณการกลับตัวเป็นขาลงที่ทรงพลัง

รูปแบบ Double Top เป็นหนึ่งในรูปแบบกราฟกลับตัวที่พบบ่อยที่สุดและมีความน่าเชื่อถือสูงในตลาด Forex รูปแบบนี้บ่งชี้ถึงการสิ้นสุดของแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) และการเริ่มต้นของแนวโน้มขาลง (Downtrend) โดยมีลักษณะคล้ายตัว “M” ที่ชัดเจน

Double Top คืออะไรและมีความสำคัญอย่างไร

Double Top คือรูปแบบกราฟราคาที่ประกอบด้วยจุดสูงสุดสองจุดที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน โดยมีช่วงการปรับฐานลงมาเล็กน้อยระหว่างจุดสูงสุดทั้งสอง หากมองโดยรวมแล้ว รูปแบบนี้เป็นสัญญาณเตือนว่าแรงซื้อเริ่มอ่อนแรงลง และแรงขายกำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ราคาอาจมีการกลับตัวเป็นขาลงในไม่ช้า

ความสำคัญของ Double Top อยู่ที่อัตราความสำเร็จที่ค่อนข้างสูงในการบ่งชี้การกลับตัวของราคา ทำให้นักเทรดสามารถเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดสถานะ Short (ขาย) เพื่อทำกำไรจากการลดลงของราคา

กระบวนการก่อตัวของรูปแบบ Double Top

การก่อตัวของรูปแบบ Double Top สามารถแบ่งออกเป็นขั้นตอนหลักๆ ได้ดังนี้:

  1. การสร้างจุดสูงสุดแรก (First Top): ราคาเคลื่อนที่ขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดใหม่ในแนวโน้มขาขึ้น ซึ่งมักจะพบกับแนวต้านที่แข็งแกร่ง ณ จุดนี้ ผู้ซื้อเริ่มอ่อนแรงลงชั่วคราว
  2. การปรับฐานลง (Retracement): หลังจากสร้างจุดสูงสุดแรก ราคาจะมีการปรับฐานลงมาเล็กน้อย ซึ่งเป็นผลมาจากแรงขายทำกำไรที่เข้ามา ทำให้เกิดเป็น “Neckline” หรือเส้นแนวรับชั่วคราว
  3. การสร้างจุดสูงสุดที่สอง (Second Top): ราคาพยายามที่จะกลับขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดแรกอีกครั้ง แต่ไม่สามารถทะลุผ่านแนวต้านเดิมไปได้ หรือทะลุไปได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแรงซื้อได้หมดลงแล้ว ณ ระดับราคานี้
  4. การร่วงลงสู่ Neckline: เมื่อไม่สามารถทะลุจุดสูงสุดเดิมได้ ราคาจะเริ่มร่วงลงอย่างรวดเร็วกลับมาที่เส้น Neckline เดิม
  5. การยืนยันรูปแบบ (Breakout): จุดสำคัญที่สุดคือเมื่อราคาทะลุผ่านเส้น Neckline ลงมาอย่างชัดเจน พร้อมด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น นี่คือสัญญาณยืนยันการก่อตัวของรูปแบบ Double Top และบ่งชี้ถึงแนวโน้มขาลงที่กำลังจะเกิดขึ้น

กลยุทธ์การเทรดด้วยรูปแบบ Double Top

เมื่อรูปแบบ Double Top ก่อตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์ นักเทรดสามารถใช้กลยุทธ์ดังต่อไปนี้เพื่อเข้าทำกำไร:

  • จุดเข้า (Entry Point):
    • การเข้าทันทีเมื่อ Breakout: สามารถเปิดสถานะขาย (Short Position) ได้ทันทีเมื่อราคาทะลุเส้น Neckline ลงมาอย่างชัดเจน
    • รอการ Retest (ทดสอบซ้ำ): กลยุทธ์ที่ปลอดภัยกว่าคือการรอให้ราคา Breakout ลงไปก่อน จากนั้นเมื่อราคามีการดีดกลับขึ้นมาทดสอบเส้น Neckline ซึ่งในตอนนี้จะเปลี่ยนบทบาทเป็นแนวต้าน (แนวต้าน) อีกครั้ง หากราคาไม่สามารถทะลุกลับขึ้นไปได้และเริ่มร่วงลง นี่คือจุดเข้าที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเปิดสถานะขาย
  • การตั้ง Stop Loss (SL): ควรตั้ง Stop Loss ไว้เหนือจุดสูงสุดของ Double Top หรือเหนือบริเวณ Neckline ที่ราคาทำการ Retest เล็กน้อย เพื่อจำกัดความเสี่ยงหากการคาดการณ์ผิดพลาดและราคากลับตัวขึ้นไป
  • การตั้ง Take Profit (TP): เป้าหมายการทำกำไร (Take Profit) โดยทั่วไปจะเท่ากับระยะห่างจากจุดสูงสุดของ Double Top ลงมายังเส้น Neckline ตัวอย่างเช่น หากระยะห่างจาก Top ถึง Neckline คือ 100 Pips เป้าหมายกำไรก็จะอยู่ที่ 100 Pips นับจากจุดที่ราคาทะลุ Neckline ลงมา

Triple Top: Double Top ที่มีจุดสูงสุดสามจุด

รูปแบบ Triple Top มีลักษณะคล้ายกับ Double Top อย่างมาก แต่มีความแตกต่างตรงที่มันสร้างจุดสูงสุดที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกันถึงสามจุด แทนที่จะเป็นสองจุด กระบวนการก่อตัวและกลยุทธ์การเทรดจะคล้ายคลึงกับ Double Top ทุกประการ โดยบ่งชี้ถึงสัญญาณการกลับตัวเป็นขาลงที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เนื่องจากราคาไม่สามารถทะลุแนวต้านเดิมได้ถึงสามครั้ง

Double Bottom: สัญญาณการกลับตัวเป็นขาขึ้นที่น่าจับตา

ในทางตรงกันข้ามกับ Double Top รูปแบบ Double Bottom เป็นรูปแบบกราฟกลับตัวที่บ่งชี้ถึงการสิ้นสุดของแนวโน้มขาลง (Downtrend) และการเริ่มต้นของแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) โดยมีลักษณะคล้ายตัว “W” ที่ชัดเจน

Double Bottom คืออะไรและมีความสำคัญอย่างไร

Double Bottom คือรูปแบบกราฟราคาที่ประกอบด้วยจุดต่ำสุดสองจุดที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน โดยมีช่วงการดีดตัวขึ้นมาเล็กน้อยระหว่างจุดต่ำสุดทั้งสอง รูปแบบนี้เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าแรงขายเริ่มหมดลง และแรงซื้อกำลังเข้ามามีอำนาจมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การกลับตัวของราคาเป็นขาขึ้น

ความสำคัญของ Double Bottom คือการเป็นสัญญาณเตือนให้นักเทรดเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดสถานะ Long (ซื้อ) เพื่อทำกำไรจากการเพิ่มขึ้นของราคา ซึ่งมีความน่าเชื่อถือสูงในการคาดการณ์การกลับตัว

กระบวนการก่อตัวของรูปแบบ Double Bottom

การก่อตัวของรูปแบบ Double Bottom สามารถแบ่งออกเป็นขั้นตอนหลักๆ ได้ดังนี้:

  1. การสร้างจุดต่ำสุดแรก (First Bottom): ราคาเคลื่อนที่ลงไปสร้างจุดต่ำสุดใหม่ในแนวโน้มขาลง ซึ่งมักจะพบกับแนวรับที่แข็งแกร่ง ณ จุดนี้ ผู้ขายเริ่มอ่อนแรงลงชั่วคราว
  2. การดีดตัวขึ้น (Rally): หลังจากสร้างจุดต่ำสุดแรก ราคาจะมีการดีดตัวขึ้นมาเล็กน้อย ซึ่งเป็นผลมาจากแรงซื้อที่เข้ามา ทำให้เกิดเป็น “Neckline” หรือเส้นแนวต้านชั่วคราว
  3. การสร้างจุดต่ำสุดที่สอง (Second Bottom): ราคาพยายามที่จะกลับลงไปทดสอบจุดต่ำสุดแรกอีกครั้ง แต่ไม่สามารถทะลุผ่านแนวรับเดิมลงไปได้ หรือทะลุไปได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแรงขายได้หมดลงแล้ว ณ ระดับราคานี้
  4. การดีดตัวขึ้นสู่ Neckline: เมื่อไม่สามารถทะลุจุดต่ำสุดเดิมได้ ราคาจะเริ่มดีดตัวขึ้นอย่างรวดเร็วกลับมาที่เส้น Neckline เดิม
  5. การยืนยันรูปแบบ (Breakout): จุดสำคัญที่สุดคือเมื่อราคาทะลุผ่านเส้น Neckline ขึ้นไปอย่างชัดเจน พร้อมด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น นี่คือสัญญาณยืนยันการก่อตัวของรูปแบบ Double Bottom และบ่งชี้ถึงแนวโน้มขาขึ้นที่กำลังจะเกิดขึ้น

กลยุทธ์การเทรดด้วยรูปแบบ Double Bottom

เมื่อรูปแบบ Double Bottom ก่อตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์ นักเทรดสามารถใช้กลยุทธ์ดังต่อไปนี้เพื่อเข้าทำกำไร:

  • จุดเข้า (Entry Point):
    • การเข้าทันทีเมื่อ Breakout: สามารถเปิดสถานะซื้อ (Long Position) ได้ทันทีเมื่อราคาทะลุเส้น Neckline ขึ้นไปอย่างชัดเจน
    • รอการ Retest (ทดสอบซ้ำ): กลยุทธ์ที่ปลอดภัยกว่าคือการรอให้ราคา Breakout ขึ้นไปก่อน จากนั้นเมื่อราคามีการปรับฐานลงมาทดสอบเส้น Neckline ซึ่งในตอนนี้จะเปลี่ยนบทบาทเป็นแนวรับ (แนวรับ) อีกครั้ง หากราคาไม่สามารถทะลุกลับลงไปได้และเริ่มดีดตัวขึ้น นี่คือจุดเข้าที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเปิดสถานะซื้อ
  • การตั้ง Stop Loss (SL): ควรตั้ง Stop Loss ไว้ต่ำกว่าจุดต่ำสุดของ Double Bottom หรือต่ำกว่าบริเวณ Neckline ที่ราคาทำการ Retest เล็กน้อย เพื่อจำกัดความเสี่ยงหากการคาดการณ์ผิดพลาดและราคาร่วงลง
  • การตั้ง Take Profit (TP): เป้าหมายการทำกำไร (Take Profit) โดยทั่วไปจะเท่ากับระยะห่างจากจุดต่ำสุดของ Double Bottom ขึ้นมายังเส้น Neckline ตัวอย่างเช่น หากระยะห่างจาก Bottom ถึง Neckline คือ 100 Pips เป้าหมายกำไรก็จะอยู่ที่ 100 Pips นับจากจุดที่ราคาทะลุ Neckline ขึ้นมา

Triple Bottom: Double Bottom ที่มีจุดต่ำสุดสามจุด

รูปแบบ Triple Bottom มีลักษณะคล้ายกับ Double Bottom อย่างมาก แต่มีความแตกต่างตรงที่มันสร้างจุดต่ำสุดที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกันถึงสามจุด แทนที่จะเป็นสองจุด กระบวนการก่อตัวและกลยุทธ์การเทรดจะคล้ายคลึงกับ Double Bottom ทุกประการ โดยบ่งชี้ถึงสัญญาณการกลับตัวเป็นขาขึ้นที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เนื่องจากราคาไม่สามารถทะลุแนวรับเดิมได้ถึงสามครั้ง

ข้อควรพิจารณาและเคล็ดลับสำหรับนักเทรด

แม้ว่ารูปแบบ Double Top และ Double Bottom จะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ แต่ก็มีข้อควรพิจารณาและเคล็ดลับเพิ่มเติมที่นักเทรดควรรู้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรด:

  • ปริมาณการซื้อขาย (Volume): การสังเกตปริมาณการซื้อขายเป็นสิ่งสำคัญ หากราคา Breakout ด้วยปริมาณการซื้อขายที่สูง แสดงถึงความแข็งแกร่งของสัญญาณกลับตัว
  • Timeframe: รูปแบบเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ในทุก Timeframe แต่โดยทั่วไปแล้ว รูปแบบที่เกิดขึ้นใน Timeframe ที่ใหญ่กว่า เช่น H4, Daily หรือ Weekly จะมีความน่าเชื่อถือมากกว่ารูปแบบที่เกิดขึ้นใน Timeframe เล็กๆ
  • การยืนยันด้วย Indicators: ควรใช้ Indicator อื่นๆ เช่น MACD, RSI หรือ Stochastic Oscillator เพื่อยืนยันสัญญาณการกลับตัว เช่น การเกิด Divergence (ความขัดแย้งของราคากับ Indicator) ซึ่งจะเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับสัญญาณ
  • การจัดการความเสี่ยง (Risk Management): การตั้ง Stop Loss ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อป้องกันการขาดทุนที่มากเกินไป ควรบริหารความเสี่ยงให้สอดคล้องกับขนาดพอร์ตการลงทุนของคุณ
  • ความอดทน: รูปแบบเหล่านี้อาจใช้เวลาในการก่อตัว นักเทรดควรมีความอดทนและรอให้รูปแบบก่อตัวสมบูรณ์และได้รับการยืนยันก่อนที่จะเข้าเทรด
  • False Breakout: บางครั้งอาจเกิด False Breakout หรือการ Breakout หลอก ซึ่งราคาจะทะลุ Neckline ไปเพียงชั่วคราวแล้วกลับตัวไปในทิศทางเดิม การรอการ Retest จะช่วยลดความเสี่ยงจากการเจอ False Breakout ได้

ตารางเปรียบเทียบ Double Top และ Double Bottom

เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น นี่คือตารางเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง Double Top และ Double Bottom:

คุณสมบัติ Double Top Double Bottom
แนวโน้มเดิม ขาขึ้น (Uptrend) ขาลง (Downtrend)
สัญญาณ กลับตัวเป็นขาลง (Bearish Reversal) กลับตัวเป็นขาขึ้น (Bullish Reversal)
ลักษณะกราฟ คล้ายตัว “M” มีสองจุดสูงสุด คล้ายตัว “W” มีสองจุดต่ำสุด
Neckline แนวรับที่ราคาต้องทะลุลง แนวต้านที่ราคาต้องทะลุขึ้น
จุดเข้าเทรด เปิดสถานะขาย (Short) เมื่อราคา Breakout ใต้ Neckline หรือ Retest Neckline เปิดสถานะซื้อ (Long) เมื่อราคา Breakout เหนือ Neckline หรือ Retest Neckline
Stop Loss เหนือจุดสูงสุดของ Double Top หรือเหนือ Neckline ที่ Retest ต่ำกว่าจุดต่ำสุดของ Double Bottom หรือต่ำกว่า Neckline ที่ Retest
Take Profit เท่ากับระยะห่างจาก Top ถึง Neckline เท่ากับระยะห่างจาก Bottom ถึง Neckline

FAQ Section (คำถามที่พบบ่อย)

1. รูปแบบ Double Top และ Double Bottom มีความแม่นยำแค่ไหน?

รูปแบบ Double Top และ Double Bottom ถือเป็นรูปแบบกราฟที่มีความแม่นยำค่อนข้างสูงในการบ่งชี้การกลับตัวของแนวโน้ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้รับการยืนยันด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นและสัญญาณจาก Indicator อื่นๆ อย่างไรก็ตาม ไม่มีรูปแบบใดที่แม่นยำ 100% เสมอไป การจัดการความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

2. ควรใช้ Timeframe ใดในการมองหารูปแบบเหล่านี้?

รูปแบบเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ในทุก Timeframe แต่เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ ควรเน้นการมองหารูปแบบใน Timeframe ที่ใหญ่ขึ้น เช่น H4 (4 ชั่วโมง), Daily (รายวัน) หรือ Weekly (รายสัปดาห์) เนื่องจากสัญญาณใน Timeframe ใหญ่จะมีน้ำหนักมากกว่าและลดโอกาสเกิด False Breakout ได้

3. “Neckline” ในรูปแบบ Double Top/Bottom คืออะไร?

Neckline คือเส้นแนวรับ (ใน Double Top) หรือเส้นแนวต้าน (ใน Double Bottom) ที่เชื่อมจุดต่ำสุดระหว่างสองยอด (Double Top) หรือเชื่อมจุดสูงสุดระหว่างสองฐาน (Double Bottom) เส้นนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะเป็นจุดยืนยันการ Breakout และเป็นแนวอ้างอิงในการตั้ง Stop Loss และ Take Profit

4. ถ้าเกิด Triple Top หรือ Triple Bottom จะแตกต่างจาก Double อย่างไร?

รูปแบบ Triple Top หรือ Triple Bottom มีลักษณะคล้ายกับ Double Top หรือ Double Bottom ทุกประการ เพียงแต่มีจุดสูงสุด (ในกรณี Triple Top) หรือจุดต่ำสุด (ในกรณี Triple Bottom) ถึงสามจุดแทนที่จะเป็นสองจุด ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งของสัญญาณการกลับตัวที่มากขึ้น เนื่องจากราคาไม่สามารถทะลุแนวต้าน/แนวรับเดิมได้ถึงสามครั้ง

5. มีข้อควรระวังอะไรบ้างเมื่อเทรดด้วยรูปแบบเหล่านี้?

ข้อควรระวังหลักๆ คือการระวัง False Breakout (การ Breakout หลอก) ซึ่งราคาทะลุ Neckline ไปเพียงชั่วคราวแล้วกลับตัวในทิศทางเดิม เพื่อลดความเสี่ยงนี้ ควรยืนยันสัญญาณด้วยปริมาณการซื้อขาย, ใช้ Indicator อื่นๆ ร่วมด้วย, และอาจรอให้ราคามีการ Retest Neckline ก่อนเข้าเทรด นอกจากนี้ การกำหนด Stop Loss และ Take Profit ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการจัดการความเสี่ยง

Conclusion (สรุป)

รูปแบบกราฟ Double Top และ Double Bottom เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีค่าอย่างยิ่งสำหรับนักเทรด Forex ทุกระดับความสามารถ การทำความเข้าใจวิธีการก่อตัวของรูปแบบเหล่านี้ การตีความสัญญาณ และการประยุกต์ใช้กลยุทธ์การเทรดที่ถูกต้อง จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าไม่มีกลยุทธ์ใดที่สมบูรณ์แบบ แต่ด้วยการฝึกฝน ความอดทน และการผสมผสานกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ นักเทรดจะสามารถใช้ประโยชน์จากรูปแบบกราฟกลับตัวเหล่านี้เพื่อนำทางในตลาด Forex ได้อย่างมั่นใจและประสบความสำเร็จ

หากคุณสนใจเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับกลยุทธ์การเทรด หรือต้องการรับข้อมูลและระบบเทรดอัตโนมัติ (EA) ฟรี สามารถติดต่อเราได้ที่:

เริ่มต้นเส้นทางการเทรดของคุณกับ FTT Investing วันนี้ เพื่อโอกาสในการสร้าง ผลกำไร อย่างยั่งยืน!

You Might Also Like

Contact Us on Line