TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
แจก EA & อินดิเคเตอร์

เทคนิคการใช้ Divergence ในระบบเทรด

มกราคม 2, 2022

เจาะลึกเทคนิคการเทรดด้วย Divergence: กลยุทธ์ทรงพลังในการจับสัญญาณการกลับตัวและแนวโน้มต่อเนื่อง

ในโลกของการเทรด ไม่ว่าจะเป็นตลาด Forex, หุ้น, หรือสินค้าโภคภัณฑ์ การเข้าใจพฤติกรรมของราคาและการเคลื่อนไหวของตลาดเป็นหัวใจสำคัญสู่ความสำเร็จ หนึ่งในเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ได้รับความนิยมและมีประสิทธิภาพสูงคือ “Divergence” หรือ “ความขัดแย้ง” ที่เกิดขึ้นระหว่างการเคลื่อนไหวของราคาและอินดิเคเตอร์โมเมนตัมต่างๆ Divergence ไม่ใช่เพียงสัญญาณบอกใบ้ แต่เป็นดั่งเข็มทิศที่ช่วยนำทางนักลงทุนให้ตัดสินใจเทรดได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ช่วยให้สามารถเข้าซื้อได้ในจุดต่ำสุดของแนวโน้มขาขึ้น หรือทำการขายออกในจุดสูงสุดของแนวโน้มขาลงได้อย่างมีนัยสำคัญ บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจถึงแก่นแท้ของ Divergence ประเภทต่างๆ วิธีการระบุสัญญาณอย่างถูกต้อง รวมถึงเทคนิคการนำไปประยุกต์ใช้ในระบบเทรดของคุณ เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างกำไรอย่างยั่งยืน

Divergence คืออะไร? ความขัดแย้งที่เผยนัยยะสำคัญของตลาด

Divergence (ไดเวอร์เจนซ์) คือปรากฏการณ์ที่แสดงถึงความไม่สอดคล้องกันระหว่างทิศทางการเคลื่อนที่ของราคาหลักในกราฟ กับทิศทางการเคลื่อนที่ของอินดิเคเตอร์ประเภท Oscillator (อินดิเคเตอร์ที่แกว่งตัวขึ้นลง) เช่น RSI, MACD, Stochastic Oscillator, CCI หรืออินดิเคเตอร์อื่นๆ ที่ใช้วัดโมเมนตัม (แรงเหวี่ยง) ของราคา

ทำไม Divergence ถึงเกิดขึ้น?

Divergence เกิดขึ้นเมื่อแรงซื้อหรือแรงขายในตลาดเริ่มอ่อนตัวลง แต่ราคายังคงเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดิม การที่อินดิเคเตอร์โมเมนตัมไม่สามารถทำจุดสูงสุดหรือต่ำสุดใหม่ตามราคาได้ เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าโมเมนตัมของเทรนด์ปัจจุบันกำลังลดลง และอาจเป็นไปได้ว่าเทรนด์นั้นกำลังจะจบลง หรือมีการพักตัว/ปรับฐานครั้งใหญ่ ซึ่งบ่อยครั้งนำไปสู่การกลับตัวของเทรนด์ (Reversal) หรือการเคลื่อนที่ต่อเนื่องของเทรนด์ (Continuation) ที่แข็งแกร่งขึ้น

ความสำคัญของ Divergence ในการเทรด

  • สัญญาณเตือนล่วงหน้า: Divergence ทำหน้าที่เป็นสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้า โดยส่งสัญญาณการอ่อนแรงของเทรนด์ก่อนที่ราคาจะเริ่มกลับตัวหรือเปลี่ยนทิศทางอย่างชัดเจน ทำให้เทรดเดอร์มีเวลาเตรียมตัวและวางแผนการเทรด
  • จุดเข้าและออกที่แม่นยำ: การใช้ Divergence ช่วยให้สามารถระบุ จุดเข้าซื้อหรือขาย ที่มีประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าใกล้จุดต่ำสุดหรือสูงสุดของรอบราคา
  • ยืนยันความแข็งแกร่งของเทรนด์: นอกจากสัญญาณกลับตัวแล้ว Hidden Divergence ยังช่วยยืนยันว่าเทรนด์ปัจจุบันยังคงแข็งแกร่งและมีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไป

โดยสรุปแล้ว Divergence เป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมในการวิเคราะห์พฤติกรรมราคาและโมเมนตัมของตลาด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักเทรดในการตัดสินใจเข้าทำกำไรหรือบริหารความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม

ประเภทของ Divergence: กุญแจสู่การระบุโอกาสในตลาด

Divergence สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทหลัก ซึ่งแต่ละประเภทก็ให้สัญญาณและนัยยะที่แตกต่างกันออกไป การทำความเข้าใจแต่ละประเภทอย่างลึกซึ้งจะช่วยให้คุณสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

ภาพรวมประเภทของ Divergence

ตารางสรุปประเภทของ Divergence

ประเภท Divergence รูปแบบราคา รูปแบบอินดิเคเตอร์ นัยยะสำคัญ ทิศทางเทรนด์
Regular Bullish Divergence Lower Lows (LL) Higher Lows (HL) สัญญาณกลับตัวเป็นขาขึ้น จากขาลงเป็นขาขึ้น
Regular Bearish Divergence Higher Highs (HH) Lower Highs (LH) สัญญาณกลับตัวเป็นขาลง จากขาขึ้นเป็นขาลง
Hidden Bullish Divergence Higher Lows (HL) Lower Lows (LL) สัญญาณยืนยันแนวโน้มขาขึ้นต่อเนื่อง ขาขึ้นต่อเนื่อง
Hidden Bearish Divergence Lower Highs (LH) Higher Highs (HH) สัญญาณยืนยันแนวโน้มขาลงต่อเนื่อง ขาลงต่อเนื่อง

1. Regular Divergence (Divergence ปกติ): สัญญาณการกลับตัวของเทรนด์

Regular Divergence หรือ Divergence ปกติ ถูกใช้เพื่อบ่งบอกถึงสัญญาณที่เป็นไปได้ของการกลับตัวของเทรนด์ (Trend Reversal) ซึ่งหมายความว่าเทรนด์ปัจจุบันกำลังจะสิ้นสุดลงและจะเริ่มต้นเทรนด์ใหม่ในทิศทางตรงกันข้าม

Regular Bullish Divergence (LL/HL): สัญญาณกลับตัวขาขึ้น

  • รูปแบบ: เกิดขึ้นเมื่อราคาสร้างจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำลง (Lower Lows – LL) แต่ในขณะเดียวกัน อินดิเคเตอร์ Oscillator กลับสร้างจุดต่ำสุดใหม่ที่สูงขึ้น (Higher Lows – HL)
  • นัยยะสำคัญ: รูปแบบนี้บ่งชี้ว่าแรงขายกำลังอ่อนตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าราคายังคงปรับตัวลงไปทำจุดต่ำสุดใหม่ แต่แรงกดดันในการขายลดลงอย่างเห็นได้ชัดในตัวอินดิเคเตอร์ ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าโมเมนตัมขาลงกำลังจะหมดลงและมีโอกาสสูงที่จะเกิดการกลับตัวเป็นเทรนด์ขาขึ้น
  • การตีความ: มักจะเกิดขึ้นหลังจากที่เทรนด์ขาลงได้ดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุด หรือหลังจากที่ราคาได้สร้างรูปแบบ Double Bottom หรือรูปแบบการกลับตัวอื่นๆ ที่เป็นสัญญาณของการเปลี่ยนทิศทาง การเกิด Regular Bullish Divergence นี้ เป็นโอกาสที่ดีในการพิจารณาเข้าซื้อ (Long Position) เพื่อจับรอบการกลับตัวของตลาด

ตัวอย่าง: ลองจินตนาการว่าราคาของคู่สกุลเงินหนึ่งกำลังร่วงลงอย่างต่อเนื่อง และทำจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำกว่าจุดต่ำสุดก่อนหน้า (LL) แต่เมื่อคุณมองไปที่ RSI คุณจะเห็นว่า RSI ไม่ได้ทำจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำลงตามราคา แต่กลับยกตัวสูงขึ้นเล็กน้อย (HL) นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนของ Regular Bullish Divergence ซึ่งบอกเป็นนัยว่าแรงขายกำลังอ่อนแรงลง และราคามีโอกาสที่จะดีดตัวกลับเป็นขาขึ้นในไม่ช้า

Regular Bullish Divergence

Regular Bearish Divergence (HH/LH): สัญญาณกลับตัวขาลง

  • รูปแบบ: เกิดขึ้นเมื่อราคาสร้างจุดสูงสุดใหม่ที่สูงขึ้น (Higher Highs – HH) แต่ในขณะเดียวกัน อินดิเคเตอร์ Oscillator กลับสร้างจุดสูงสุดใหม่ที่ต่ำลง (Lower Highs – LH)
  • นัยยะสำคัญ: รูปแบบนี้บ่งชี้ว่าแรงซื้อกำลังอ่อนตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าราคายังคงปรับตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ แต่แรงกดดันในการซื้อลดลงอย่างเห็นได้ชัดในตัวอินดิเคเตอร์ ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าโมเมนตัมขาขึ้นกำลังจะหมดลงและมีโอกาสสูงที่จะเกิดการกลับตัวเป็นเทรนด์ขาลง
  • การตีความ: มักจะเกิดขึ้นหลังจากที่เทรนด์ขาขึ้นได้ดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุด หรือหลังจากที่ราคาได้สร้างรูปแบบ Double Top หรือรูปแบบการกลับตัวอื่นๆ ที่เป็นสัญญาณของการเปลี่ยนทิศทาง การเกิด Regular Bearish Divergence นี้ เป็นโอกาสที่ดีในการพิจารณาเข้าขาย (Short Position) เพื่อจับรอบการกลับตัวของตลาด

ตัวอย่าง: สมมติว่าราคาหุ้นตัวหนึ่งกำลังพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งและทำจุดสูงสุดใหม่ที่สูงกว่าจุดสูงสุดก่อนหน้า (HH) แต่เมื่อคุณดูที่ MACD คุณจะสังเกตเห็นว่าเส้น MACD ไม่ได้ทำจุดสูงสุดใหม่ตามราคา แต่กลับทำจุดสูงสุดที่ต่ำลง (LH) นี่คือสัญญาณของ Regular Bearish Divergence ที่บ่งบอกว่าแรงซื้อกำลังถดถอย และตลาดมีแนวโน้มที่จะกลับตัวเป็นขาลง

Regular Bearish Divergence

โดยสรุปแล้ว Regular Divergence เป็นสัญญาณที่ทรงพลังสำหรับการระบุจุดกลับตัวของตลาด ช่วยให้นักเทรดสามารถเข้าทำกำไรที่บริเวณจุดสูงสุดหรือต่ำสุดของรอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากสัญญาณ Oscillator เริ่มเกิด Divergence แม้พฤติกรรมของราคายังคงทำ Higher High หรือ Lower Low นั่นหมายความว่าเทรนด์ปัจจุบันจะไม่ยั่งยืนอีกต่อไป

2. Hidden Divergence (Divergence แฝง): สัญญาณยืนยันแนวโน้ม

Hidden Divergence หรือ Divergence แฝง ต่างจาก Regular Divergence ตรงที่ไม่ได้เป็นสัญญาณของการกลับตัว แต่เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการต่อเนื่องของเทรนด์ (Trend Continuation) ซึ่งหมายความว่าเทรนด์ปัจจุบันยังคงแข็งแกร่งและมีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไปหลังจากมีการพักตัวระยะสั้น

Hidden Bullish Divergence (HL/LL): ยืนยันแนวโน้มขาขึ้นต่อเนื่อง

  • รูปแบบ: เกิดขึ้นเมื่อราคาสร้างจุดต่ำสุดใหม่ที่สูงขึ้น (Higher Lows – HL) ในขณะที่ตลาดอยู่ในเทรนด์ขาขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน อินดิเคเตอร์ Oscillator กลับสร้างจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำลง (Lower Lows – LL)
  • นัยยะสำคัญ: สัญญาณนี้บ่งบอกว่าเทรนด์ขาขึ้นยังคงมีแรงสนับสนุนที่แข็งแกร่ง แม้ว่าราคาจะมีการปรับฐานหรือพักตัวลงไปเล็กน้อย (ทำให้เกิด Higher Low) แต่โมเมนตัมที่แท้จริงที่แสดงโดยอินดิเคเตอร์กลับบ่งชี้ถึงแรงซื้อที่ซ่อนอยู่ (ทำให้เกิด Lower Low ในอินดิเคเตอร์) ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่าราคามีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นต่อไป
  • การตีความ: หากคุณพบ Hidden Bullish Divergence ในช่วงที่ตลาดกำลังเป็นขาขึ้น นั่นหมายความว่าการพักตัวของราคาในปัจจุบันเป็นเพียงชั่วคราว และเทรนด์ขาขึ้นมีโอกาสสูงที่จะดำเนินต่อไป เป็นโอกาสในการเข้าซื้อเพิ่มเติม (Add to Position) หรือเข้าเทรดตามเทรนด์ขาขึ้น

ตัวอย่าง: ในตลาดขาขึ้น ราคาอาจจะย่อตัวลงมาเล็กน้อยและทำ Higher Low (HL) ซึ่งดูเหมือนเป็นการพักตัวปกติ แต่เมื่อคุณพิจารณา Stochastic คุณจะพบว่า Stochastic ได้ทำ Lower Low (LL) นี่คือ Hidden Bullish Divergence ที่ยืนยันว่าแรงซื้อยังคงมีอยู่มาก และเทรนด์ขาขึ้นจะยังคงดำเนินต่อไป

Hidden Bullish Divergence

Hidden Bearish Divergence (LH/HH): ยืนยันแนวโน้มขาลงต่อเนื่อง

  • รูปแบบ: เกิดขึ้นเมื่อราคาสร้างจุดสูงสุดใหม่ที่ต่ำลง (Lower Highs – LH) ในขณะที่ตลาดอยู่ในเทรนด์ขาลง แต่ในขณะเดียวกัน อินดิเคเตอร์ Oscillator กลับสร้างจุดสูงสุดใหม่ที่สูงขึ้น (Higher Highs – HH)
  • นัยยะสำคัญ: สัญญาณนี้บ่งบอกว่าเทรนด์ขาลงยังคงมีแรงกดดันที่แข็งแกร่ง แม้ว่าราคาจะมีการดีดตัวหรือปรับขึ้นไปเล็กน้อย (ทำให้เกิด Lower High) แต่โมเมนตัมที่แท้จริงที่แสดงโดยอินดิเคเตอร์กลับบ่งชี้ถึงแรงขายที่ซ่อนอยู่ (ทำให้เกิด Higher High ในอินดิเคเตอร์) ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่าราคามีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงต่อไป
  • การตีความ: หากคุณพบ Hidden Bearish Divergence ในช่วงที่ตลาดกำลังเป็นขาลง นั่นหมายความว่าการดีดตัวของราคาในปัจจุบันเป็นเพียงชั่วคราว และเทรนด์ขาลงมีโอกาสสูงที่จะดำเนินต่อไป เป็นโอกาสในการเข้าขายเพิ่มเติม (Add to Position) หรือเข้าเทรดตามเทรนด์ขาลง

ตัวอย่าง: ในตลาดขาลง ราคาอาจจะดีดตัวขึ้นมาเล็กน้อยและทำ Lower High (LH) แต่เมื่อคุณดูที่ RSI คุณจะพบว่า RSI ได้ทำ Higher High (HH) ซึ่งเป็นสัญญาณของ Hidden Bearish Divergence สิ่งนี้บ่งชี้ว่าแรงขายยังคงครอบงำตลาด และราคามีแนวโน้มที่จะร่วงลงต่อ

Hidden Bearish Divergence

การทำความเข้าใจความแตกต่างและนัยยะของ Regular และ Hidden Divergence เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการนำกลยุทธ์ Divergence ไปใช้ในการเทรดได้อย่างเหมาะสมและเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจ

ทำไม Divergence จึงเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง?

การใช้ Divergence ในระบบเทรดไม่ใช่เพียงแค่การมองเห็นความแตกต่างระหว่างราคากับอินดิเคเตอร์ แต่เป็นการทำความเข้าใจ “ความจริง” ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของตลาด ซึ่งทำให้ Divergence เป็นเครื่องมือที่มีความทรงพลังอย่างยิ่งด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้:

  1. การคาดการณ์จุดกลับตัวที่แม่นยำ: Divergence โดยเฉพาะ Regular Divergence มีชื่อเสียงในการเป็นสัญญาณเตือนการกลับตัวของเทรนด์ที่เชื่อถือได้ ช่วยให้นักเทรดสามารถเข้าสู่ตลาดได้ใกล้เคียงกับจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดของแนวโน้ม ซึ่งนำไปสู่โอกาสในการทำกำไรที่สูงขึ้นและลดความเสี่ยงจากการเข้าเทรดในทิศทางที่ผิด
  2. การยืนยันแนวโน้มที่แข็งแกร่ง: Hidden Divergence เป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมในการยืนยันว่าเทรนด์ปัจจุบันยังคงมีแรงส่งและจะดำเนินต่อไปหลังจากเกิดการพักตัวชั่วคราว ช่วยให้นักเทรดสามารถเข้าสู่เทรนด์หรือเพิ่มสถานะการลงทุนได้อย่างมั่นใจ
  3. การประเมินโมเมนตัมของตลาด: Divergence ช่วยให้เรามองเห็นได้ว่าโมเมนตัม (แรงซื้อ/แรงขาย) ของตลาดนั้นสอดคล้องกับราคาหรือไม่ หากราคาทำจุดสูงสุดหรือต่ำสุดใหม่ แต่อินดิเคเตอร์โมเมนตัมกลับอ่อนแรงลง แสดงว่าแรงผลักดันที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของราคากำลังลดลง ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง
  4. ใช้งานได้กับอินดิเคเตอร์หลากหลาย: ไม่ว่าคุณจะใช้อินดิเคเตอร์โมเมนตัมตัวไหน เช่น MACD, Stochastic, RSI, หรือ CCI หลักการของ Divergence ยังคงสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ ทำให้มีความยืดหยุ่นและเป็นสากลในการวิเคราะห์
  5. เป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้า: Divergence มักจะปรากฏขึ้นก่อนที่ราคาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ทำให้เทรดเดอร์มีเวลาในการวางแผนการเทรด, การตั้ง Stop Loss และ Take Profit ล่วงหน้า

ดังนั้น Divergence จึงไม่ใช่แค่รูปแบบกราฟิกบนหน้าจอ แต่เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงสภาวะจิตวิทยาและแรงขับเคลื่อนที่แท้จริงในตลาด ซึ่งหากเข้าใจและใช้งานได้อย่างเชี่ยวชาญ จะเป็นอาวุธลับที่ทรงประสิทธิภาพในมือของนักเทรด

9 เทคนิคและกฎสำคัญในการใช้ Divergence เพื่อการเทรดที่มีประสิทธิภาพ

การใช้ Divergence อย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยความเข้าใจในกฎเกณฑ์และเทคนิคที่ถูกต้อง เพื่อหลีกเลี่ยงสัญญาณหลอกและเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจเทรด นี่คือ 9 เทคนิคสำคัญที่คุณควรยึดถือ:

1. ระบุรูปแบบราคาที่ชัดเจนบนกราฟเป็นอันดับแรก

ก่อนที่คุณจะมองหา Divergence ในอินดิเคเตอร์ สิ่งสำคัญที่สุดคือคุณต้องเห็น รูปแบบราคาที่ชัดเจน บนกราฟแท่งเทียนก่อน ซึ่งได้แก่:

  • Higher High (HH): จุดสูงสุดใหม่ที่สูงกว่าจุดสูงสุดก่อนหน้าในเทรนด์ขาขึ้น
  • Lower Low (LL): จุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำกว่าจุดต่ำสุดก่อนหน้าในเทรนด์ขาลง
  • Double Top: รูปแบบการกลับตัวขาลงที่มีจุดสูงสุดสองจุดเท่ากันหรือใกล้เคียงกัน
  • Double Bottom: รูปแบบการกลับตัวขาขึ้นที่มีจุดต่ำสุดสองจุดเท่ากันหรือใกล้เคียงกัน

คำแนะนำ: หากไม่มีรูปแบบเหล่านี้ปรากฏบนกราฟราคา อย่าเพิ่งคาดเดาหรือจินตนาการว่ามี Divergence เกิดขึ้น การกระทำเช่นนั้นจะนำไปสู่การตีความที่ผิดพลาดและโอกาสในการขาดทุนสูง

2. วาดเส้นเทรนด์ไลน์เชื่อมจุดสูงสุด/ต่ำสุดบนกราฟราคา

เมื่อคุณระบุรูปแบบราคาที่ชัดเจนได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการวาดเส้นเทรนด์ไลน์ (Trendline) เพื่อเชื่อมโยงจุดสูงสุด (Tops) หรือจุดต่ำสุด (Bottoms) ที่เกี่ยวข้องบนกราฟราคา การวาดเส้นนี้จะช่วยให้คุณมองเห็นทิศทางของราคาได้ชัดเจน และเป็นพื้นฐานในการเปรียบเทียบกับอินดิเคเตอร์ในภายหลัง

  • สำหรับ Higher Highs/Double Top: ลากเส้นเชื่อมจุดสูงสุดสองจุด
  • สำหรับ Lower Lows/Double Bottom: ลากเส้นเชื่อมจุดต่ำสุดสองจุด

เคล็ดลับ: การลากเส้นควรพาดผ่านจุดที่ชัดเจนที่สุด เพื่อให้การวิเคราะห์มีความแม่นยำ

3. ลากเฉพาะจุดสูงสุดและต่ำสุดที่สัมพันธ์กัน

ในขณะที่ราคากำลังสร้างจุดสูงสุดสองครั้ง หรือจุดต่ำสุดสองครั้ง ให้คุณลากเส้นเชื่อมจุดเหล่านั้นบนกราฟราคาให้เรียบร้อยก่อนเสมอ และต้องมั่นใจว่าคุณกำลังเชื่อมโยงจุดที่ถูกต้อง ซึ่งคือจุดที่เป็น Swing High หรือ Swing Low ที่มีนัยสำคัญ ไม่ใช่แค่การแกว่งตัวเล็กน้อย

4. จับตาดูที่ราคาตลอดเวลา

หลังจากที่คุณได้วาดเส้นเทรนด์ไลน์บนกราฟราคาแล้ว ให้คุณหันไปมองอินดิเคเตอร์ที่คุณเลือกใช้ (RSI, MACD, Stochastic ฯลฯ) เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมของอินดิเคเตอร์กับราคาที่คุณได้ระบุไว้

ข้อควรระวัง: อินดิเคเตอร์บางตัว เช่น MACD หรือ Stochastic จะมีเส้นสองเส้นที่เคลื่อนที่ขึ้นลง การเปรียบเทียบควรเน้นไปที่การเคลื่อนไหวของเส้นหลักหรือ Histogram ของอินดิเคเตอร์นั้นๆ

5. ทำตัวเหมือนกับ Pip Diddy: ลากเส้นเชื่อมอินดิเคเตอร์ให้สอดคล้อง

เช่นเดียวกับการลากเส้นเทรนด์ไลน์บนกราฟราคา คุณจะต้องลากเส้นบนอินดิเคเตอร์ของคุณด้วย เพื่อเชื่อมโยงจุดสูงสุดหรือต่ำสุดที่สอดคล้องกับจุดที่คุณลากบนกราฟราคา สิ่งนี้จำเป็นอย่างยิ่งเพื่อให้คุณเห็นความขัดแย้งของทิศทางได้อย่างชัดเจนที่สุด

ตัวอย่าง: หากคุณลากเส้นเชื่อม Higher Highs บนกราฟราคา คุณก็ต้องลากเส้นเชื่อมจุดสูงสุดที่สอดคล้องกันบนอินดิเคเตอร์ด้วยเช่นกัน

6. จุด High หรือ Low บนอินดิเคเตอร์ต้องอยู่ในแนวเดียวกันกับราคา

ความถูกต้องของการระบุ Divergence ขึ้นอยู่กับความสอดคล้องของจุดที่คุณเลือกบนทั้งกราฟราคาและอินดิเคเตอร์ กล่าวคือ จุดสูงสุดหรือต่ำสุดที่คุณใช้ในการวาดเส้นบนอินดิเคเตอร์ จะต้องเป็นจุดที่ “ตรงกัน” หรือ “สอดคล้องกัน” กับจุดสูงสุดหรือต่ำสุดบนกราฟราคาที่ทำให้เกิดรูปแบบ Higher High, Lower Low, Double Top, หรือ Double Bottom

ผิดพลาดบ่อย: นักเทรดมือใหม่มักจะลากเส้นบนอินดิเคเตอร์โดยไม่คำนึงถึงความสอดคล้องกับจุดบนกราฟราคา ซึ่งนำไปสู่การตีความ Divergence ที่ผิดพลาด

7. ใช้ประโยชน์จากความชันของกราฟ

Divergence จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ “ความชัน” (Slope) ของเส้นเทรนด์ไลน์บนกราฟราคาและอินดิเคเตอร์มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ความชันที่แตกต่างกันนี้เป็นหัวใจสำคัญของการยืนยัน Divergence ซึ่งความชันอาจจะออกมาในรูปแบบของ:

  • Ascending (เฉียงขึ้น): แสดงถึงการเคลื่อนไหวขึ้น
  • Descending (เฉียงลง): แสดงถึงการเคลื่อนไหวลง
  • Flat (ราบ): แสดงถึงการเคลื่อนไหวในแนวนอนหรือไม่มีทิศทางที่ชัดเจน

กฎทอง: หากความชันของราคาและอินดิเคเตอร์ไปในทิศทางเดียวกัน แม้จะมีมุมที่แตกต่างกันเล็กน้อย ก็ไม่ใช่ Divergence ที่มีนัยสำคัญ

8. หากพลาด “ตกเรือ” แล้ว ให้รอลำต่อไป

ตลาดเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา หากคุณเห็นสัญญาณ Divergence เกิดขึ้นแล้ว แต่ราคากลับเคลื่อนที่ไปไกลจากจุดที่คุณควรจะเข้าเทรดไปมากแล้ว นั่นหมายความว่าคุณได้ “ตกเรือ” หรือพลาดโอกาสในการเข้าทำกำไรที่เหมาะสมไปแล้ว

คำแนะนำ: สิ่งที่ดีที่สุดคือการรอ อย่าพยายามไล่ตามตลาดในจังหวะที่สายเกินไป แต่ให้รอให้เกิดการสวิง High หรือ Low ครั้งต่อไป เพื่อค้นหาสัญญาณ Divergence รอบใหม่ การเทรดด้วยความอดทนและการรอคอยจังหวะที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาเงินทุนและทำกำไรในระยะยาว

9. กลับมาดูสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว: เลือก Time Frame ที่เหมาะสม

สัญญาณ Divergence มีความน่าเชื่อถือที่แตกต่างกันไปตาม Time Frame ที่ใช้ โดยทั่วไปแล้ว:

  • Time Frame ที่ยาวขึ้น (เช่น H1, H4, Daily): สัญญาณ Divergence ใน Time Frame ที่ยาวมักจะมีความน่าเชื่อถือสูงกว่าและมีสัญญาณหลอก (False Signals) น้อยกว่ามาก ซึ่งหมายความว่าคุณอาจจะไม่ได้เทรดบ่อยนัก แต่เมื่อได้เข้าเทรดแล้ว โอกาสในการทำกำไรก้อนโตมีสูง
  • Time Frame ที่สั้นลง (เช่น M5, M15): สัญญาณ Divergence ใน Time Frame สั้นๆ จะปรากฏบ่อยครั้งกว่า แต่ก็มีสัญญาณหลอกที่สูงกว่า ทำให้ความน่าเชื่อถือลดลงอย่างมาก

คำแนะนำ: เราแนะนำให้คุณใช้ Divergence กับกราฟ Time Frame หนึ่งชั่วโมง (H1) ขึ้นไป เพื่อกรองสัญญาณรบกวนและเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจเทรด การเลือก Time Frame ที่เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้คุณใช้ Divergence ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และลดความเสี่ยงที่ไม่จำเป็นในการเทรด

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับ Divergence

Q1: Divergence คืออะไร และแตกต่างจาก Confirmation อย่างไร?

A1: Divergence คือภาวะที่ราคาและอินดิเคเตอร์เคลื่อนไหวไปในทิศทางที่แตกต่างกัน ซึ่งบ่งบอกถึงการอ่อนแรงของโมเมนตัมและอาจเป็นสัญญาณกลับตัวหรือต่อเนื่องของเทรนด์ ในขณะที่ Confirmation (การยืนยัน) คือภาวะที่ราคาและอินดิเคเตอร์เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งเป็นการยืนยันความแข็งแกร่งของเทรนด์นั้นๆ โดยสรุป Divergence บอกถึงความไม่สอดคล้องที่อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ในขณะที่ Confirmation บอกถึงความสอดคล้องที่ยืนยันสถานะปัจจุบัน

Q2: อินดิเคเตอร์ใดบ้างที่นิยมใช้ในการหา Divergence?

A2: อินดิเคเตอร์ประเภท Oscillator เป็นเครื่องมือหลักในการค้นหา Divergence โดยที่ได้รับความนิยมอย่างสูงได้แก่ MACD (Moving Average Convergence Divergence), RSI (Relative Strength Index), Stochastic Oscillator, และ Commodity Channel Index (CCI) อินดิเคเตอร์เหล่านี้ช่วยวัดโมเมนตัมของราคาและสามารถแสดงความขัดแย้งกับราคาได้อย่างชัดเจน

Q3: ควรใช้ Time Frame ใดในการเทรดด้วย Divergence?

A3: เพื่อความน่าเชื่อถือสูงสุด ควรใช้ Divergence กับ Time Frame ที่ยาวขึ้น เช่น 1 ชั่วโมง (H1), 4 ชั่วโมง (H4) หรือกราฟรายวัน (Daily) เนื่องจากสัญญาณใน Time Frame เหล่านี้มักจะมีนัยสำคัญมากกว่าและมีโอกาสเกิดสัญญาณหลอกน้อยกว่า การใช้ใน Time Frame ที่สั้นมาก ๆ (เช่น 5 นาที หรือ 15 นาที) อาจทำให้เกิดสัญญาณหลอกบ่อยครั้งและลดความน่าเชื่อถือลงอย่างมาก

Q4: มีความเสี่ยงหรือข้อจำกัดในการใช้ Divergence หรือไม่?

A4: มีแน่นอนครับ Divergence ไม่ใช่สัญญาณที่สมบูรณ์แบบและอาจเกิดสัญญาณหลอกได้ โดยเฉพาะในตลาดที่มีความผันผวนสูง หรือใน Time Frame ที่สั้น นอกจากนี้ Divergence บ่งบอกถึง “ความเป็นไปได้” ในการกลับตัวหรือต่อเนื่องของเทรนด์ ไม่ใช่ “การรับประกัน” ดังนั้น การใช้ Divergence ควรใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ เช่น แนวรับแนวต้าน, รูปแบบแท่งเทียน, หรือ Price Action เพื่อเพิ่มความแม่นยำและยืนยันสัญญาณ

Q5: Divergence สามารถใช้กับการเทรดทุกประเภทหรือไม่?

A5: Divergence เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับการเทรดเกือบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นการเทรดระยะสั้น (Scalping), การเทรดระหว่างวัน (Day Trading), การเทรดระยะกลาง (Swing Trading) หรือแม้กระทั่งการลงทุนระยะยาว (Position Trading) แต่สิ่งสำคัญคือการเลือก Time Frame ที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณ เพื่อให้สัญญาณที่ได้มีความน่าเชื่อถือและสอดคล้องกับเป้าหมายการทำกำไรของคุณ

บทสรุป

Divergence เป็นหนึ่งในเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ทรงพลังและมีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับนักเทรดทุกระดับ การทำความเข้าใจประเภทของ Divergence ไม่ว่าจะเป็น Regular Divergence ที่บ่งชี้ถึงการกลับตัว หรือ Hidden Divergence ที่ยืนยันการต่อเนื่องของเทรนด์ จะช่วยให้คุณสามารถอ่านตลาดได้อย่างลึกซึ้งและระบุโอกาสในการทำกำไรได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม การใช้ Divergence อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ต้องอาศัยการฝึกฝน การมีวินัย และการประยุกต์ใช้ร่วมกับเครื่องมือและกลยุทธ์อื่นๆ ในระบบเทรดของคุณเสมอ การปฏิบัติตาม 9 เทคนิคสำคัญที่ได้กล่าวไป จะช่วยให้คุณลดสัญญาณหลอกและเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจลงทุนได้เป็นอย่างดี อย่าลืมว่าการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและการปรับปรุงกลยุทธ์อยู่เสมอเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในระยะยาวในตลาดการเงิน

#แจกฟรี!ระบบเทรดอัตโนมัติและอินดิเคเตอร์!
สำหรับเพื่อนๆ ที่ต้องการยกระดับการเทรดด้วย EA (Expert Advisor) และอินดิเคเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง รวมถึงเข้าถึงกลุ่ม Line VIP ฟรี ที่จะได้รับข้อมูลเชิงลึกและสัญญาณการเทรดเฉพาะจากผู้เชี่ยวชาญ
มีเงื่อนไขเพียงเล็กน้อย:
.
เพียงสมัครเปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์ตามลิงค์ด้านล่าง ก็สามารถรับ EA ได้ฟรีทุกตัว และ EA ตัวใหม่ๆอื่นๆได้อีกในอนาคต
XM – คุณภาพอันดับหนึ่งตลอดสิบปีในไทย
.
Mtrading – สเปรดเริ่มต้นที่ 0 pip ค่าคอมต่ำ
.
Exness – โบรกเกอร์ที่ฝากและถอนเร็วที่สุด
.
**”เมื่อสมัครเสร็จ ส่งเลข MT4 ไปที่ Line Id- @ft.th เพื่อ
.
ขอรับ EA ได้ฟรี!”**
.
ช่องทางการพูดคุย
.
Line Id :: @ft.th
.
.
กลุ่มพูดคุย :: เทรดฟอเร็กซ์ให้ได้กําไรอย่างยั่งยืน
.
*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจ
เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

You Might Also Like