Divergence ใน Forex: สุดยอดกลยุทธ์การหาจังหวะกลับตัวของราคาที่นักเทรดมืออาชีพต้องรู้
ในโลกของการเทรด Forex ที่เต็มไปด้วยความผันผวน การระบุจุดกลับตัวของราคาได้อย่างแม่นยำคือหนึ่งในกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ และหนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดที่ช่วยให้นักเทรดสามารถคาดการณ์การกลับตัวนี้ได้ก็คือ Divergence หรือที่ในวงการ Forex เรียกว่า “สัญญาณกลับตัว” นั่นเอง บทความนี้จะเจาะลึกถึงแก่นแท้ของ Divergence ทั้งในเชิงทฤษฎีและปฏิบัติ เพื่อให้คุณเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า Divergence คืออะไร มีกี่ประเภท และจะนำมาใช้ในการเทรด Forex ได้อย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
Divergence คืออะไร? ทำไมจึงเป็นสัญญาณสำคัญในตลาด Forex?
Divergence ในบริบทของการเทรด Forex หมายถึง ความขัดแย้ง หรือ ความไม่สอดคล้องกัน ระหว่างทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาหลัก (Price Action) กับทิศทางการเคลื่อนไหวของ Indicator ประเภท Oscillator ซึ่งวัดโมเมนตัมหรือความแข็งแกร่งของแนวโน้ม การที่ราคาและ Indicator แสดงทิศทางที่สวนทางกันนี้ บ่งชี้ว่าแนวโน้มปัจจุบันกำลังอ่อนแรงลง และมีโอกาสสูงที่จะเกิดการกลับตัวในอนาคตอันใกล้
ทำไม Divergence จึงเกิดขึ้น?
Divergence เกิดขึ้นเนื่องจาก Indicator ประเภท Oscillator เช่น Relative Strength Index (RSI), Moving Average Convergence Divergence (MACD) หรือ Stochastic Oscillator ถูกออกแบบมาเพื่อวัดความเร็วและความแรงของการเปลี่ยนแปลงราคา เมื่อราคายังคงสร้างจุดสูงสุดใหม่ (Higher High) หรือจุดต่ำสุดใหม่ (Lower Low) แต่ Indicator กลับไม่สามารถทำตามได้ แสดงว่าแรงซื้อหรือแรงขายที่เคยผลักดันราคากำลังลดลง นี่คือสัญญาณเตือนว่าโมเมนตัมของตลาดกำลังเปลี่ยนไป แม้ว่าราคาจะยังคงเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดิมในระยะสั้นก็ตาม
ความสำคัญของ Divergence ต่อการเทรด
- บ่งชี้การกลับตัว: Divergence เป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งว่าแนวโน้มปัจจุบันกำลังจะสิ้นสุดลงและอาจเกิดการกลับตัว ซึ่งช่วยให้นักเทรดสามารถเตรียมตัวสำหรับการเปิดสถานะใหม่หรือปิดสถานะเดิมได้ทันท่วงที
- ยืนยันความอ่อนแอของแนวโน้ม: แม้จะยังไม่เกิดการกลับตัวทันที แต่การปรากฏของ Divergence ก็บ่งบอกถึงความอ่อนแอของแนวโน้มปัจจุบัน ทำให้นักเทรดมีความระมัดระวังมากขึ้นในการติดตามแนวโน้มนั้นๆ
- เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับการวิเคราะห์: เมื่อนำ Divergence ไปใช้ร่วมกับการวิเคราะห์รูปแบบราคา (Chart Pattern) หรือระดับแนวรับแนวต้าน จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับสัญญาณการเทรดได้มากยิ่งขึ้น
ประเภทของ Divergence ที่นักเทรด Forex ควรรู้
Divergence แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ซึ่งบ่งบอกถึงทิศทางการกลับตัวที่แตกต่างกัน ได้แก่ Bullish Divergence และ Bearish Divergence
1. Bullish Divergence (สัญญาณกลับตัวเป็นขาขึ้น)

Bullish Divergence เกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดอยู่ในแนวโน้มขาลง (Downtrend) โดยมีลักษณะที่สำคัญคือ:
- ราคา: เคลื่อนที่ลงไปสร้างจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำกว่าเดิม (Lower Low หรือ LL)
- Indicator: กลับสร้างจุดต่ำสุดใหม่ที่สูงกว่าเดิม (Higher Low หรือ HL)
ความหมายและนัยยะ: การที่ราคาทำ Lower Low แสดงว่าแรงขายยังคงมีอยู่ แต่การที่ Indicator ทำ Higher Low บ่งชี้ว่าแรงขายกำลังอ่อนกำลังลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้ราคาจะยังคงลดลงแต่โมเมนตัมในการลงนั้นได้ลดลงแล้ว สัญญาณนี้เป็นเหมือนคำเตือนว่าหมี (Bear) ในตลาดกำลังจะหมดแรง และกระทิง (Bull) อาจจะเข้ามาควบคุมตลาดในไม่ช้า ซึ่งนำไปสู่การกลับตัวเป็นแนวโน้มขาขึ้น
การนำไปใช้: เมื่อพบ Bullish Divergence นักเทรดควรมองหาโอกาสในการเข้าซื้อ (Long Position) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อราคาสามารถยืนเหนือแนวรับสำคัญ หรือเกิดรูปแบบแท่งเทียนกลับตัว (Candlestick Reversal Pattern) ที่ชัดเจน
2. Bearish Divergence (สัญญาณกลับตัวเป็นขาลง)

Bearish Divergence เกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) โดยมีลักษณะที่สำคัญคือ:
- ราคา: เคลื่อนที่ขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดใหม่ที่สูงกว่าเดิม (Higher High หรือ HH)
- Indicator: กลับสร้างจุดสูงสุดใหม่ที่ต่ำกว่าเดิม (Lower High หรือ LH)
ความหมายและนัยยะ: การที่ราคาทำ Higher High แสดงว่าแรงซื้อยังคงมีอยู่ แต่การที่ Indicator ทำ Lower High บ่งชี้ว่าแรงซื้อกำลังอ่อนกำลังลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้ราคาจะยังคงเพิ่มขึ้นแต่โมเมนตัมในการขึ้นนั้นได้ลดลงแล้ว สัญญาณนี้เป็นเหมือนคำเตือนว่ากระทิง (Bull) ในตลาดกำลังจะหมดแรง และหมี (Bear) อาจจะเข้ามาควบคุมตลาดในไม่ช้า ซึ่งนำไปสู่การกลับตัวเป็นแนวโน้มขาลง
การนำไปใช้: เมื่อพบ Bearish Divergence นักเทรดควรมองหาโอกาสในการเข้าขาย (Short Position) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อราคาทะลุแนวต้านสำคัญลงมา หรือเกิดรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวที่ชัดเจน
4 วิธีการเทรด Divergence อย่างมืออาชีพ เพิ่มโอกาสทำกำไร
การเทรด Divergence ไม่ใช่แค่การมองเห็นสัญญาณ แต่ต้องอาศัยการวิเคราะห์เพิ่มเติมและมีวินัยในการเข้าออก เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยง นี่คือ 4 วิธีที่สำคัญ:
วิธีที่ 1: เริ่มจากการมอง Trend ให้ออกก่อน
ก่อนที่จะมองหา Divergence สิ่งสำคัญที่สุดคือการ อ่านแนวโน้ม (Trend) ของตลาดให้ขาด ทำไมถึงต้องเป็นเช่นนั้น?
- Divergence คือสัญญาณความขัดแย้ง: Divergence เป็นตัวบอกความขัดแย้งของราคากับโมเมนตัม ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความอ่อนแอของแนวโน้มปัจจุบัน และเป็นนัยว่าราคามี โอกาส ที่จะกลับตัวในไม่ช้า (ย้ำว่า “โอกาส” ไม่ใช่ “แน่นอน”)
- Divergence เกิดในแนวโน้ม: โดยธรรมชาติแล้ว Divergence จะเกิดขึ้นในช่วงที่ราคากำลังอยู่ในแนวโน้ม ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลง การที่คุณเข้าใจว่าตลาดกำลังอยู่ในแนวโน้มใด จะช่วยให้คุณสามารถตีความ Divergence ได้อย่างถูกต้องและแม่นยำยิ่งขึ้น
- ยกตัวอย่าง: หากคุณเห็น Bullish Divergence แต่ไม่แน่ใจว่าตลาดอยู่ในช่วงขาลงที่ชัดเจนหรือไม่ สัญญาณนั้นก็อาจจะไม่น่าเชื่อถือเท่าที่ควร ในทางกลับกัน หากคุณระบุได้ว่าตลาดกำลังอยู่ใน Downtrend ที่แข็งแกร่ง และพบ Bullish Divergence นั่นหมายถึงโอกาสที่ราคาจะกลับตัวเป็นขาขึ้นที่น่าสนใจ คุณสามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เทคนิคการอ่าน Trend อย่างละเอียด เพื่อเพิ่มความเข้าใจ
วิธีที่ 2: การหาแนวรับ-แนวต้าน เพื่อยืนยัน Divergence Signal
แนวรับ (Support) และแนวต้าน (Resistance) เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้คุณแยกแยะได้ว่า Divergence Signal ที่เกิดขึ้นนั้นเป็น “ของจริง” หรือ “ของปลอม” หลักการคือ:
- Divergence ของจริง (True Divergence): จะได้รับการยืนยันเมื่อราคาทำการ Breakout ระดับแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ
- สำหรับ Bullish Divergence (ในแนวโน้มขาลง): หากเกิด Bullish Divergence และราคา “ทะลุแนวต้าน” (Breakout Resistance) ที่สำคัญขึ้นไปได้ นี่คือสัญญาณยืนยันว่า Divergence นั้นเป็นของจริง และมีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็นขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- สำหรับ Bearish Divergence (ในแนวโน้มขาขึ้น): หากเกิด Bearish Divergence และราคา “หลุดแนวรับ” (Breakout Support) ที่สำคัญลงมาได้ นี่คือสัญญาณยืนยันว่า Divergence นั้นเป็นของจริง และมีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็นขาลงอย่างต่อเนื่อง
- ยกตัวอย่าง: สมมติว่าในกราฟทองคำ คุณเห็น Bearish Divergence ในช่วงขาขึ้น แต่ราคายังคงไม่หลุดแนวรับสำคัญลงมา คุณไม่ควรเข้า Short ทันที เพราะสัญญาณอาจเป็นของปลอม แต่หากราคาทะลุแนวรับลงมาอย่างชัดเจนพร้อมปริมาณการซื้อขายที่สูง นั่นคือการยืนยันสัญญาณ Bearish Divergence ที่แข็งแกร่ง
วิธีที่ 3: ดู Divergence Signal ใน Time Frame Day เป็นหลัก
ข้อนี้เป็นสิ่งที่เทรดเดอร์มือใหม่มักมองข้าม หรือให้ความสำคัญน้อยเกินไป:
- น้ำหนักของ Time Frame: Time Frame ที่ใหญ่กว่า เช่น Daily (D1) หรือ Weekly (W1) จะให้สัญญาณ Divergence ที่มีน้ำหนักและความน่าเชื่อถือสูงกว่า Time Frame ที่เล็กกว่ามาก เช่น M1, M5, M15 หรือ M30
- ทำไม Time Frame เล็กถึงเชื่อไม่ค่อยได้?
- สัญญาณรบกวน (Noise): ใน Time Frame เล็กๆ มีสัญญาณรบกวนและข้อมูลที่ไม่มีนัยสำคัญเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทำให้เกิด Divergence ปลอม หรือสัญญาณที่อ่อนแอ
- ความผันผวนสูง: ราคาใน Time Frame สั้นๆ มีความผันผวนสูงและเปลี่ยนแปลงเร็ว ทำให้ Divergence ที่ปรากฏอาจเป็นเพียงการเคลื่อนไหวชั่วคราว ไม่ได้บ่งบอกถึงการกลับตัวของแนวโน้มหลัก
- ผลลัพธ์: การพึ่งพาสัญญาณ Divergence จาก Time Frame เล็กๆ อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดและขาดทุนได้ง่าย ในทางกลับกัน การใช้ Time Frame Day เป็นหลักในการหา Divergence จะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของตลาดที่ชัดเจนขึ้น และได้สัญญาณกลับตัวที่มีคุณภาพสูงกว่ามาก ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลลัพธ์การเทรดในระยะยาว
วิธีที่ 4: รอ Confirm Signal ก่อนเสมอ
นี่คือเคล็ดลับสำคัญที่สุดสำหรับการเทรด Divergence ที่นักเทรดมืออาชีพทุกคนยึดถือ:
- ห้ามเปิด Order ทันทีที่เห็น Divergence: การเห็น Divergence เป็นเพียง “สัญญาณเตือน” เริ่มต้นเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าคุณควรจะเข้า Order ทันที เพราะ Divergence สามารถอยู่ได้นาน และราคาก็อาจจะยังคงวิ่งไปในทิศทางเดิมได้อีกระยะหนึ่ง
- ความสำคัญของการยืนยัน (Confirmation): คุณต้อง “รอการยืนยัน” (Confirm Signal) ก่อนเสมอ การยืนยันที่ว่าคือการที่ราคาแสดงพฤติกรรมที่สอดคล้องกับทิศทางการกลับตัวที่ Divergence ชี้ไป
- การ Confirm Signal ที่ดีที่สุด: คือการรอให้ราคา “Breakout Levels” (ทะลุแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ) ตามที่ได้อธิบายในวิธีที่ 2
- สำหรับ Bullish Divergence: รอให้ราคา Breakout แนวต้านขึ้นไปอย่างชัดเจน
- สำหรับ Bearish Divergence: รอให้ราคา Breakout แนวรับลงมาอย่างชัดเจน
- ประโยชน์ของการรอ Confirm:
- ลดสัญญาณหลอก: วิธีนี้จะช่วยกรอง Divergence ปลอม หรือสัญญาณที่อ่อนแอออกไปได้มาก ทำให้คุณเจอ Divergence ที่เป็นของจริงมากขึ้น
- เพิ่มความแม่นยำ: การเข้าเทรดเมื่อมีสัญญาณยืนยันจะช่วยเพิ่มความแม่นยำและโอกาสในการทำกำไรได้อย่างมีนัยสำคัญ
- ลดความเสี่ยง: การรอการยืนยันเป็นการบริหารความเสี่ยงอย่างหนึ่ง เพราะคุณจะเข้าเทรดเมื่อตลาดแสดงทิศทางที่ชัดเจนแล้ว
ตารางสรุปประเภท Divergence และการนำไปใช้
เพื่อความเข้าใจที่ง่ายขึ้น เราได้สรุปประเภทของ Divergence และวิธีการนำไปใช้ในตารางด้านล่าง:
| ประเภท Divergence | แนวโน้มเดิมของราคา | การเคลื่อนไหวของราคา | การเคลื่อนไหวของ Indicator | ความหมาย | กลยุทธ์การเทรด |
|---|---|---|---|---|---|
| Bullish Divergence | ขาลง (Downtrend) | ทำ Lower Low (LL) | ทำ Higher Low (HL) | แรงขายอ่อนกำลังลง มีโอกาสกลับตัวเป็นขาขึ้น | มองหาจังหวะเข้าซื้อ (Long) เมื่อราคา Breakout แนวต้าน หรือมีสัญญาณกลับตัวอื่น ๆ ยืนยัน |
| Bearish Divergence | ขาขึ้น (Uptrend) | ทำ Higher High (HH) | ทำ Lower High (LH) | แรงซื้ออ่อนกำลังลง มีโอกาสกลับตัวเป็นขาลง | มองหาจังหวะเข้าขาย (Short) เมื่อราคา Breakout แนวรับ หรือมีสัญญาณกลับตัวอื่น ๆ ยืนยัน |
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับ Divergence ใน Forex
Q1: Divergence แตกต่างจาก Hidden Divergence อย่างไร?
A1: Divergence ที่เรากล่าวถึงในบทความนี้คือ Regular Divergence หรือ Classic Divergence ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้การกลับตัวของแนวโน้ม ในขณะที่ Hidden Divergence เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงความต่อเนื่องของแนวโน้มเดิมที่แข็งแกร่ง โดยมีลักษณะตรงกันข้ามกับ Regular Divergence ตัวอย่างเช่น Hidden Bullish Divergence เกิดขึ้นเมื่อราคาทำ Higher Low แต่ Indicator ทำ Lower Low บ่งบอกว่าแนวโน้มขาขึ้นจะยังคงดำเนินต่อไป
Q2: ควรใช้อินดิเคเตอร์ตัวใดในการหา Divergence ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด?
A2: อินดิเคเตอร์ประเภท Oscillator ที่นิยมใช้และมีประสิทธิภาพในการหา Divergence ได้แก่ RSI (Relative Strength Index), MACD (Moving Average Convergence Divergence) และ Stochastic Oscillator ซึ่งแต่ละตัวมีจุดเด่นและข้อจำกัดแตกต่างกัน ควรลองใช้และทำความคุ้นเคยกับอินดิเคเตอร์ที่คุณรู้สึกถนัดที่สุด อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจหลักการของ Divergence ไม่ใช่แค่ตัวอินดิเคเตอร์
Q3: Divergence สามารถใช้ได้กับทุก Time Frame หรือไม่?
A3: Divergence สามารถเกิดขึ้นได้ในทุก Time Frame แต่สัญญาณที่เกิดขึ้นใน Time Frame ที่ใหญ่กว่า (เช่น D1, W1) จะมีความน่าเชื่อถือและมีน้ำหนักมากกว่า Time Frame ที่เล็กกว่า (เช่น M1, M5, M15) เสมอ แนะนำให้ใช้ Time Frame Day เป็นหลักในการมองหา Divergence เพื่อหลีกเลี่ยงสัญญาณรบกวนและการกลับตัวปลอม
Q4: หากพบ Divergence ควรเข้าเทรดทันทีหรือไม่?
A4: ไม่ควรเข้าเทรดทันทีที่เห็น Divergence เนื่องจาก Divergence เป็นเพียงสัญญาณเตือนล่วงหน้าเท่านั้น คุณควรรอสัญญาณยืนยันเพิ่มเติม เช่น การทะลุแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ (Breakout Levels) หรือรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวที่ชัดเจน เพื่อเพิ่มโอกาสในการเทรดที่ประสบความสำเร็จและลดความเสี่ยง
Q5: มีความเสี่ยงอะไรบ้างในการเทรด Divergence?
A5: แม้ว่า Divergence จะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ แต่ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน สัญญาณ Divergence อาจเป็นสัญญาณหลอก (False Signal) หากไม่มีการยืนยันเพิ่มเติม หรืออาจเกิดขึ้นแล้วแต่ราคากลับไม่กลับตัวตามที่คาดการณ์ไว้ ดังนั้น การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ด้วยการตั้ง Stop Loss ที่เหมาะสม และการใช้ Money Management ที่ดีจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการเทรด Divergence
บทสรุป: Divergence คือกุญแจสำคัญสู่การจับจังหวะตลาด Forex
Divergence เป็นหนึ่งในเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ทรงพลังที่สุดสำหรับการระบุสัญญาณกลับตัวของราคาในตลาด Forex การทำความเข้าใจประเภทของ Divergence ไม่ว่าจะเป็น Bullish Divergence หรือ Bearish Divergence และการนำไปใช้อย่างถูกวิธี จะช่วยให้นักเทรดสามารถคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในการเทรด Divergence ไม่ได้มาจากการเพียงแค่เห็นสัญญาณ แต่มาจากการผสมผสานกับการวิเคราะห์แนวโน้ม การใช้แนวรับแนวต้าน การเลือก Time Frame ที่เหมาะสม และที่สำคัญที่สุดคือการรอสัญญาณยืนยันก่อนการตัดสินใจเปิด Order
หากคุณสามารถฝึกฝนและประยุกต์ใช้ทั้ง 4 วิธีการเทรด Divergence ที่ได้กล่าวมานี้ คุณจะสามารถยกระดับฝีมือการเทรดของคุณให้ก้าวไปอีกขั้น และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้อย่างยั่งยืนในตลาด Forex ที่ท้าทายนี้ อย่าลืมว่าการเรียนรู้และฝึกฝนอย่างต่อเนื่องคือหัวใจสำคัญของนักเทรดที่ประสบความสำเร็จ
หากคุณสนใจระบบเทรดอัตโนมัติหรือต้องการเข้าร่วมกลุ่ม Line VIP เพื่อรับ EA ฟรี สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่:


