TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
เทรดทองคำ

กลยุทธ์การซื้อขายรายวันโดยใช้ Bollinger Bands และ RVI

สิงหาคม 5, 2022

กลยุทธ์การซื้อขายรายวันด้วย Bollinger Bands และ RVI: เพิ่มประสิทธิภาพการตัดสินใจของคุณ

การซื้อขายรายวัน (Day Trading) เป็นรูปแบบการลงทุนที่ได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดการเงิน โดยเฉพาะตลาด Forex และทองคำ นักเทรดจะทำการเปิดและปิดสถานะภายในวันเดียวกันเพื่อทำกำไรจากความผันผวนของราคาในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม การจะประสบความสำเร็จในการซื้อขายรายวันนั้นจำเป็นต้องมีกลยุทธ์การซื้อขายที่ชัดเจนและมีวินัย โดยเฉพาะการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่เหมาะสม บทความนี้จะเจาะลึกกลยุทธ์การซื้อขายรายวันที่ใช้สองอินดิเคเตอร์ยอดนิยม ได้แก่ Bollinger Bands และ Relative Vigor Index (RVI) เพื่อช่วยให้คุณสามารถระบุจุดเข้าและออกที่แม่นยำยิ่งขึ้น

ทำความเข้าใจพื้นฐานของอินดิเคเตอร์ที่ใช้ในกลยุทธ์นี้

ก่อนที่เราจะลงลึกในรายละเอียดของกลยุทธ์ สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจหลักการทำงานของอินดิเคเตอร์หลักสองตัวที่เราจะนำมาใช้ร่วมกัน นั่นคือ Bollinger Bands และ RVI

1. Bollinger Bands (BB) คืออะไรและทำงานอย่างไร?

Bollinger Bands คืออินดิเคเตอร์ที่คิดค้นโดย John Bollinger ซึ่งประกอบด้วยเส้นสามเส้น ได้แก่ เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบธรรมดา (Simple Moving Average – SMA) ตรงกลาง และเส้นขอบบน (Upper Band) กับเส้นขอบล่าง (Lower Band) ที่เคลื่อนที่ตามความผันผวนของราคา

  • เส้นกลาง (Middle Band): โดยทั่วไปคือ SMA 20 คาบ ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้แนวโน้มของราคา
  • เส้นขอบบน (Upper Band): คำนวณจากเส้นกลางบวกด้วยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) คูณด้วยค่าคงที่ (โดยทั่วไปคือ 2)
  • เส้นขอบล่าง (Lower Band): คำนวณจากเส้นกลางลบด้วยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน คูณด้วยค่าคงที่ (โดยทั่วไปคือ 2)

Bollinger Bands บอกอะไรเรา?

หลักการทำงานของ Bollinger Bands คือ ราคาจะเคลื่อนที่อยู่ภายในขอบของแบนด์ส่วนใหญ่ประมาณ 90-95% ของเวลา สิ่งนี้ช่วยให้เราสามารถประเมินได้ว่าราคาอยู่ในภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) เมื่อราคาแตะหรือทะลุเส้นขอบบน จะถือเป็นสัญญาณว่าราคาอาจอยู่ในภาวะ Overbought และมีโอกาสที่จะปรับตัวลง ในทางกลับกัน เมื่อราคาแตะหรือทะลุเส้นขอบล่าง จะถือเป็นสัญญาณว่าราคาอาจอยู่ในภาวะ Oversold และมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้น

นอกจากนี้ ความกว้างของ Bollinger Bands ยังสามารถบ่งบอกถึงความผันผวนของตลาดได้อีกด้วย:

  • แบนด์แคบ (Contraction): บ่งบอกถึงช่วงที่ตลาดมีความผันผวนต่ำ หรืออยู่ในช่วงสะสมพลัง มักจะเป็นสัญญาณว่าอาจจะเกิดการเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงในอนาคตอันใกล้
  • แบนด์กว้าง (Expansion): บ่งบอกถึงช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง มีการเคลื่อนไหวของราคาที่แข็งแกร่งและต่อเนื่อง

2. Relative Vigor Index (RVI) คืออะไรและทำงานอย่างไร?

Relative Vigor Index (RVI) คืออินดิเคเตอร์ประเภท Oscillator ที่พัฒนาโดย John Ehlers ซึ่งใช้วัดความแข็งแกร่งของแนวโน้มโดยเปรียบเทียบราคาปิดกับช่วงราคาในแต่ละคาบ โดยมีแนวคิดว่าในตลาดขาขึ้น ราคาปิดมักจะสูงกว่าราคาเปิด ในขณะที่ตลาดขาลง ราคาปิดมักจะต่ำกว่าราคาเปิด

RVI ประกอบด้วยสองเส้นหลัก:

  • เส้น RVI (สีเขียว): เป็นเส้นหลักที่คำนวณจากราคาปิดสัมพันธ์กับช่วงราคา
  • เส้นสัญญาณ (Signal Line – สีแดง): เป็นเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ของเส้น RVI โดยทั่วไปคือ SMA 4 คาบของ RVI

RVI บอกอะไรเรา?

RVI ใช้ในการยืนยันแนวโน้มและสัญญาณ Divergence โดยเฉพาะการมองหาจุดกลับตัวของราคา:

  • RVI สูงกว่าเส้นสัญญาณและมีทิศทางขึ้น: บ่งบอกถึงโมเมนตัมขาขึ้นที่แข็งแกร่ง
  • RVI ต่ำกว่าเส้นสัญญาณและมีทิศทางลง: บ่งบอกถึงโมเมนตัมขาลงที่แข็งแกร่ง
  • สัญญาณ Cross Over: เมื่อเส้น RVI ตัดขึ้นเหนือเส้นสัญญาณ ถือเป็นสัญญาณซื้อ และเมื่อเส้น RVI ตัดลงใต้เส้นสัญญาณ ถือเป็นสัญญาณขาย
  • ภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) / ขายมากเกินไป (Oversold): แม้ RVI จะไม่มีระดับ Overbought/Oversold ที่ชัดเจนเหมือน RSI หรือ Stochastic แต่การเคลื่อนไหวของ RVI ที่สูงหรือต่ำมาก ๆ ก็สามารถบ่งบอกถึงสภาวะดังกล่าวได้

กลยุทธ์การซื้อขายรายวันด้วย Bollinger Bands และ RVI: การผสมผสานที่ทรงพลัง

การผสมผสาน Bollinger Bands และ RVI เข้าด้วยกันจะช่วยให้เราสามารถระบุจุดเข้าซื้อและขายที่มีความน่าจะเป็นสูงได้ โดยใช้ Bollinger Bands เพื่อระบุโซน Overbought/Oversold และใช้ RVI เพื่อยืนยันโมเมนตัมและการกลับตัวของราคา

1. การหาสัญญาณซื้อ (Buy Signal)

เป้าหมายของการหาสัญญาณซื้อคือการเข้าซื้อเมื่อราคาอยู่ในภาวะ Oversold และกำลังแสดงสัญญาณของการกลับตัวเป็นขาขึ้น

เงื่อนไขการเข้าซื้อ:

  1. ราคาแตะหรือทะลุ Bollinger Band ล่าง: นี่คือสัญญาณแรกที่บ่งบอกว่าราคาอาจอยู่ในภาวะ Oversold และมีโอกาสที่จะกลับตัวขึ้น ให้จับตาดูการเคลื่อนไหวของราคาอย่างใกล้ชิด
  2. ราคาดีดตัวกลับจาก Bollinger Band ล่าง: เมื่อราคาเริ่มเคลื่อนที่ออกจากเส้นขอบล่าง แสดงว่าแรงขายเริ่มอ่อนกำลังลง และแรงซื้ออาจเริ่มเข้ามาในตลาด
  3. RVI ทำ Cross Over ขึ้น: ในขณะเดียวกัน ให้สังเกตอินดิเคเตอร์ RVI เมื่อเส้น RVI (สีเขียว) ตัดขึ้นเหนือเส้นสัญญาณ (สีแดง) นี่คือการยืนยันถึงการเปลี่ยนโมเมนตัมจากขาลงเป็นขาขึ้นอย่างชัดเจน

ทำไมต้องใช้ RVI ในการยืนยัน?

การที่ราคาแตะ Bollinger Band ล่างเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะยืนยันการกลับตัว เพราะราคาอาจยังคงเคลื่อนที่ลงต่อไปตามขอบล่างได้ (Walking the Lower Band) การใช้ RVI ในการยืนยันการ Cross Over ขึ้น จะช่วยให้เรามั่นใจได้ว่ามีโมเมนตัมขาขึ้นที่แท้จริงกำลังก่อตัวขึ้น ลดความเสี่ยงในการเข้าซื้อเร็วเกินไป

ตัวอย่างการตั้งค่า Buy

ตัวอย่างการตั้งค่า Buy ด้วย Bollinger Bands และ RVI

จากภาพตัวอย่าง จะเห็นว่าเมื่อราคาวิ่งลงไปแตะเส้น Bollinger Band ล่าง และเริ่มดีดตัวกลับขึ้นมา ในขณะเดียวกัน อินดิเคเตอร์ RVI ก็แสดงสัญญาณเส้นสีเขียวตัดขึ้นเหนือเส้นสีแดงอย่างชัดเจน นี่คือจุดยืนยันที่เหมาะสมสำหรับการเปิดสถานะซื้อ

2. การหาสัญญาณขาย (Sell Signal)

สำหรับการหาสัญญาณขาย เราจะมองหาโอกาสในการเข้าขายเมื่อราคาอยู่ในภาวะ Overbought และกำลังแสดงสัญญาณของการกลับตัวเป็นขาลง

เงื่อนไขการเข้าขาย:

  1. ราคาแตะหรือทะลุ Bollinger Band บน: เป็นสัญญาณเตือนเบื้องต้นว่าราคาอาจอยู่ในภาวะ Overbought และมีโอกาสที่จะกลับตัวลง
  2. ราคาถูกปฏิเสธจาก Bollinger Band บน: เมื่อราคาไม่สามารถรักษาระดับเหนือเส้นขอบบนได้และเริ่มดีดตัวลง แสดงว่าแรงซื้อเริ่มอ่อนกำลังลง และแรงขายอาจเริ่มเข้ามาในตลาด
  3. RVI ทำ Cross Over ลง: ให้สังเกตอินดิเคเตอร์ RVI เมื่อเส้น RVI (สีเขียว) ตัดลงใต้เส้นสัญญาณ (สีแดง) นี่คือการยืนยันถึงการเปลี่ยนโมเมนตัมจากขาขึ้นเป็นขาลงอย่างชัดเจน

ทำไมต้องใช้ RVI ในการยืนยัน?

เช่นเดียวกับการเข้าซื้อ การที่ราคาแตะ Bollinger Band บนเพียงอย่างเดียวไม่ได้รับประกันว่าราคาจะกลับตัวลงทันที ราคาอาจยังคงเคลื่อนที่ขึ้นไปตามขอบบนได้ การยืนยันด้วย RVI ที่ตัดลงใต้เส้นสัญญาณจะช่วยให้คุณมั่นใจในการตัดสินใจเปิดสถานะขาย ลดความเสี่ยงจากการเข้าเทรดในจังหวะที่ยังไม่มีการกลับตัวที่แท้จริง

ตัวอย่างการตั้งค่าการขาย

ตัวอย่างการตั้งค่า Sell ด้วย Bollinger Bands และ RVI

จากภาพตัวอย่าง จะเห็นว่าเมื่อราคาวิ่งขึ้นไปชนเส้น Bollinger Band บนและถูกปฏิเสธลงมา ในขณะเดียวกัน RVI ก็แสดงสัญญาณเส้นสีเขียวตัดลงใต้เส้นสีแดงอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นจุดยืนยันที่เหมาะสมสำหรับการเปิดสถานะขาย

กรอบเวลา (Timeframe) และคู่สกุลเงินที่เหมาะสม

กรอบเวลา

สำหรับกลยุทธ์การซื้อขายรายวันนี้ กรอบเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือ H1 (กราฟ 1 ชั่วโมง) และ H4 (กราฟ 4 ชั่วโมง)

  • H1 และ H4: กรอบเวลาเหล่านี้ให้ความสมดุลระหว่างความถี่ของสัญญาณและความน่าเชื่อถือของสัญญาณ การเคลื่อนไหวของราคาในกรอบเวลาเหล่านี้มักจะมีความผันผวนเพียงพอสำหรับการทำกำไรรายวัน แต่ก็ไม่รวดเร็วจนเกินไปเหมือนกรอบเวลาที่สั้นกว่า เช่น M15 หรือ M5 ซึ่งอาจทำให้เกิดสัญญาณหลอก (Fake Signals) ได้บ่อยครั้ง
  • การทดสอบในกรอบเวลาอื่น: คุณสามารถทดสอบกลยุทธ์นี้ในกรอบเวลาอื่น ๆ ได้ตามความเหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณ เช่น M30 สำหรับเทรดที่รวดเร็วขึ้น หรือ Daily สำหรับการเทรดที่ใช้เวลานานขึ้น อย่างไรก็ตาม ควรระลึกไว้เสมอว่ากรอบเวลาที่สั้นลงอาจเพิ่มความเสี่ยงจากสัญญาณรบกวน ในขณะที่กรอบเวลาที่ยาวขึ้นอาจให้สัญญาณที่น้อยลงแต่มีความน่าเชื่อถือสูงขึ้น

คู่สกุลเงิน

กลยุทธ์นี้สามารถนำไปใช้ได้กับ ทุกคู่สกุลเงิน (Any Currency Pair) และสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น XAUUSD (ทองคำ) หรือดัชนีต่าง ๆ ที่มีความผันผวนสูง อย่างไรก็ตาม ควรเลือกคู่สกุลเงินหรือสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถเข้าและออกจากการซื้อขายได้อย่างราบรื่นโดยไม่เกิด slippage มากเกินไป

การบริหารจัดการคำสั่ง: Take Profit (TP) และ Stop Loss (SL)

การกำหนดจุด Take Profit (TP) และ Stop Loss (SL) เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการบริหารความเสี่ยงและรักษาผลกำไรในระยะยาว การไม่มีแผนการจัดการคำสั่งที่ดีอาจนำไปสู่การขาดทุนที่ไม่จำเป็น

Take Profit (TP)

จุดทำกำไรควรตั้งค่าให้เหมาะสมกับกรอบเวลาและสไตล์การเทรดของคุณ:

  • สำหรับกรอบเวลา H1 หรือ H4: แนะนำให้ตั้งจุดทำกำไรที่ 50-70 pip (สำหรับคู่สกุลเงินหลัก) หรือเทียบเท่ากับช่วงราคาที่เหมาะสมสำหรับสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น ทองคำ การตั้งเป้าหมายที่สูงขึ้นเล็กน้อยสำหรับกรอบเวลาที่ยาวขึ้นเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะเกิดการเคลื่อนไหวของราคาที่ใหญ่กว่า
  • สำหรับการ Scalping (กรอบเวลาที่สั้นลง): หากคุณเลือกที่จะใช้กลยุทธ์นี้กับการ Scalping ในกรอบเวลาที่สั้นลง (เช่น M5, M15) จุดทำกำไรควรลดลงมาอยู่ที่ 30-50 pip เพื่อให้สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็วและเป้าหมายการทำกำไรที่เล็กกว่า
  • แนวทางเพิ่มเติม: คุณสามารถปิดสถานะทำกำไรเมื่อราคาเคลื่อนที่เข้าสู่ พื้นที่ Overbought (สำหรับสถานะซื้อ) หรือ พื้นที่ Oversold (สำหรับสถานะขาย) บน Bollinger Bands อีกครั้ง ซึ่งหมายถึงการออกจากตลาดเมื่อโมเมนตัมเริ่มอ่อนแรงหรือกำลังจะกลับตัว

Stop Loss (SL)

การตั้ง Stop Loss เป็นสิ่งที่ไม่สามารถละเลยได้ เพื่อปกป้องเงินทุนของคุณจากการขาดทุนที่มากเกินไป

  • ตั้งตามแนวรับและแนวต้านล่าสุด: วิธีที่มีประสิทธิภาพคือการตั้ง Stop Loss เหนือแนวต้านล่าสุดสำหรับสถานะขาย หรือต่ำกว่าแนวรับล่าสุดสำหรับสถานะซื้อ ซึ่งเป็นจุดที่หากราคาผ่านไปได้ แสดงว่าการวิเคราะห์ของเราผิดพลาด
  • การประเมิน ATR (Average True Range): คุณอาจใช้ อินดิเคเตอร์ ATR เพื่อช่วยกำหนดระยะ Stop Loss ที่เหมาะสม โดยตั้ง Stop Loss ห่างจากจุดเข้าซื้อขายเป็นจำนวนเท่าของค่า ATR เพื่อให้สอดคล้องกับความผันผวนในปัจจุบันของสินทรัพย์นั้น ๆ

คำเตือนความเสี่ยงและการบริหารเงินทุน (Risk Management and Money Management)

การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงสูง และกลยุทธ์ใด ๆ ก็ตามไม่สามารถรับประกันผลกำไรได้ 100% การบริหารความเสี่ยงและบริหารเงินทุนเป็นหัวใจสำคัญในการอยู่รอดในระยะยาว

1. การยืนยันสัญญาณ (Confirmation)

ในกลยุทธ์นี้ การยืนยันสัญญาณจากอินดิเคเตอร์ทั้งสองตัวมีความสำคัญอย่างยิ่ง ห้ามเข้าเทรดหากอินดิเคเตอร์ตัวใดตัวหนึ่งไม่ให้สัญญาณที่ชัดเจน:

  • สำหรับสัญญาณซื้อ: ต้องมีราคาแตะ Bollinger Band ล่าง, ดีดตัวกลับ, และ RVI ตัดขึ้น
  • สำหรับสัญญาณขาย: ต้องมีราคาแตะ Bollinger Band บน, ถูกปฏิเสธ, และ RVI ตัดลง

การเร่งรีบเข้าเทรดโดยไม่มีการยืนยันที่ครบถ้วนจะเพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนอย่างมาก

2. การบริหารเงินทุน (Money Management)

หลักการที่สำคัญที่สุดของการบริหารเงินทุนคือการ ควบคุมความเสี่ยงต่อการเทรดแต่ละครั้ง

  • ความเสี่ยง 1-2% ต่อการเทรด: คุณควรจำกัดความเสี่ยงในการขาดทุนต่อการเทรดแต่ละครั้งไว้ที่ 1-2% ของเงินทุนทั้งหมด เท่านั้น ตัวอย่างเช่น หากคุณมีเงินทุน $1,000 คุณไม่ควรเสี่ยงขาดทุนเกิน $10-$20 ต่อการเทรดหนึ่งครั้ง หากการเทรดนั้นผิดพลาด
  • การคำนวณ Lot Size: การจำกัดความเสี่ยงนี้จะนำไปสู่การคำนวณขนาดล็อต (Lot Size) ที่เหมาะสมสำหรับแต่ละการเทรด โดยพิจารณาจากระยะ Stop Loss และมูลค่า Pip ของคู่สกุลเงินนั้น ๆ (เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการคำนวณ Lot)
  • ทำไมต้องจำกัดความเสี่ยง? การจำกัดความเสี่ยงจะช่วยให้คุณสามารถทนต่อการขาดทุนติดต่อกันได้หลายครั้งโดยที่เงินทุนของคุณยังไม่หมดไป และช่วยให้คุณมีโอกาสกลับมาทำกำไรได้ในอนาคต หากคุณเสี่ยงมากเกินไปในแต่ละการเทรด การขาดทุนเพียงไม่กี่ครั้งก็อาจทำให้บัญชีของคุณเสียหายอย่างหนักได้

สรุป

กลยุทธ์การซื้อขายรายวันโดยใช้ Bollinger Bands และ RVI เป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการระบุโอกาสในการเข้าซื้อขายในตลาด Forex และสินทรัพย์อื่น ๆ ด้วยการใช้ Bollinger Bands เพื่อระบุโซน Overbought/Oversold และ RVI เพื่อยืนยันโมเมนตัมและการกลับตัว นักเทรดสามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือของสัญญาณได้ อย่างไรก็ตาม หัวใจสำคัญของความสำเร็จไม่ใช่เพียงแค่การเข้าใจกลยุทธ์ แต่ยังรวมถึงการมีวินัยในการปฏิบัติตามกฎการเข้าและออก การบริหารความเสี่ยงอย่างเข้มงวด และการจัดการเงินทุนอย่างรอบคอบ

โปรดจำไว้ว่า การฝึกฝนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เริ่มต้นด้วยการทดลองใช้กลยุทธ์นี้ในบัญชีทดลอง (Demo Account) เพื่อสร้างความคุ้นเคยและปรับแต่งให้เข้ากับสไตล์การเทรดของคุณ ก่อนที่จะนำไปใช้กับการซื้อขายด้วยเงินจริง การมีความรู้ความเข้าใจในตลาดและเครื่องมือต่าง ๆ อย่างถ่องแท้ จะเป็นกุญแจสำคัญสู่การเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จในระยะยาว

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

คำถาม คำตอบ
1. กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับมือใหม่หรือไม่? กลยุทธ์นี้ค่อนข้างเข้าใจง่ายและเหมาะสำหรับมือใหม่ที่ต้องการเริ่มต้นการซื้อขายรายวัน อย่างไรก็ตาม มือใหม่ควรฝึกฝนในบัญชีทดลองเป็นเวลานานพอสมควร เพื่อให้คุ้นเคยกับการทำงานของอินดิเคเตอร์และการตัดสินใจภายใต้สถานการณ์จริง โดยเฉพาะการบริหารจัดการความเสี่ยง
2. สามารถใช้อินดิเคเตอร์ตัวอื่นร่วมด้วยได้หรือไม่? ได้ คุณสามารถพิจารณาเพิ่มอินดิเคเตอร์ตัวอื่นเพื่อยืนยันสัญญาณเพิ่มเติม เช่น RSI หรือ Stochastic เพื่อมองหาสัญญาณ Overbought/Oversold หรืออินดิเคเตอร์แนวโน้ม เช่น Moving Average เพื่อยืนยันแนวโน้มหลักของตลาด อย่างไรก็ตาม ไม่ควรใช้อินดิเคเตอร์มากเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดความซับซ้อนและสัญญาณขัดแย้งกันได้
3. ควรตั้งค่า Bollinger Bands และ RVI อย่างไร? การตั้งค่าเริ่มต้นที่แนะนำสำหรับ Bollinger Bands คือ SMA 20 คาบ และ Standard Deviation 2 สำหรับ RVI คือ RVI 10-14 คาบ และ Signal Line 4 คาบ อย่างไรก็ตาม คุณสามารถทดลองปรับค่าเหล่านี้ได้เพื่อให้เหมาะสมกับคู่สกุลเงิน กรอบเวลา และสไตล์การเทรดของคุณ โดยทำการทดสอบย้อนหลัง (Backtest) เพื่อหาค่าที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุด
4. จะเกิดอะไรขึ้นถ้าสัญญาณ Bollinger Bands และ RVI ขัดแย้งกัน? หากสัญญาณจากอินดิเคเตอร์ทั้งสองตัวขัดแย้งกัน เช่น ราคาแตะ Bollinger Band ล่าง แต่ RVI ยังไม่มีการ Cross Over ขึ้นที่ชัดเจน คุณไม่ควรเข้าเทรดในสถานการณ์นั้น ควรรอจนกว่าอินดิเคเตอร์ทั้งสองจะให้สัญญาณที่สอดคล้องกันเพื่อเพิ่มความน่าจะเป็นของความสำเร็จในการเทรด
5. กลยุทธ์นี้สามารถใช้กับการเทรดทองคำ (XAUUSD) ได้หรือไม่? ได้ กลยุทธ์นี้สามารถนำไปใช้กับการเทรดทองคำ (XAUUSD) ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงและมีการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนบนกราฟ อย่างไรก็ตาม ควรปรับขนาด Lot Size และจุด Take Profit/Stop Loss ให้เหมาะสมกับความผันผวนของทองคำที่มักจะสูงกว่าคู่สกุลเงินทั่วไป

________________________________________________

สำหรับพี่ๆที่สนใจเข้ากลุ่มผู้ใช้ EA เปิดบัญชีคลิกที่ลิงค์
ส่งเลข MT4 รับลิงค์ได้เลย
________________________________________________
✅ ??สมัครยืนยันตัวตนรับ EA ได้ฟรีตลอดชีพ
XM มีโบนัสสำหรับลูกค้าที่สมัครใหม่ $30 และมีโบนัสเงินฝาก
Exness สมัครง่ายฝากถอนเร็ว
MTrading เทรดดีไม่มีสะดุด XAUUSD ไม่มีค่า Swap บนบัญชี M.Pro!
________________________________________________
✅ ♥️ สอบถามเพิ่มเติมที่?https://bit.ly/MTRatsamee
Line id : @ft.th https://lin.ee/u0dwlLM
——–
ติดตามเราได้ที่
?LINE: @ft.th ( https://lin.ee/u0dwlLM )
?Youtube: FTT – investing (https://shorturl.asia/7wqIe )
_____________________________________________

You Might Also Like

Contact Us on Line