TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
ระบบเทรดสั้น

ความสัมพันธ์ใน forex คืออะไร?

กันยายน 9, 2022

ทำความเข้าใจความสัมพันธ์ของคู่สกุลเงิน (Currency Correlation) ใน Forex: กลยุทธ์บริหารความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทนอย่างมืออาชีพ

กราฟแสดงความสัมพันธ์ของคู่สกุลเงินใน Forex

ในโลกของการเทรด Forex ที่เต็มไปด้วยความผันผวนและโอกาส การทำความเข้าใจ “ความสัมพันธ์ของคู่สกุลเงิน” หรือ Currency Correlation ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่เทรดเดอร์มืออาชีพใช้ในการบริหารความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพของกลยุทธ์การเทรด บทความนี้จะเจาะลึกถึงแก่นแท้ของความสัมพันธ์ของสกุลเงิน อธิบายวิธีการทำงาน และนำเสนอแนวทางปฏิบัติที่จะช่วยให้คุณนำไปใช้ในการเทรดได้อย่างชาญฉลาด เพื่อยกระดับการตัดสินใจของคุณให้เหนือกว่านักลงทุนทั่วไป

ความสัมพันธ์ของคู่สกุลเงิน (Currency Correlation) คืออะไร และทำไมจึงสำคัญ?

ความสัมพันธ์ของคู่สกุลเงินในตลาด Forex คือการวัดระดับที่คู่สกุลเงินสองคู่เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน หรือทิศทางตรงกันข้าม โดยจะแสดงออกมาในรูปของค่าสัมประสิทธิ์ การทำความเข้าใจค่าความสัมพันธ์นี้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเทรดเดอร์ด้วยเหตุผลหลายประการ:

การบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ

การเข้าใจความสัมพันธ์ของสกุลเงินช่วยให้เทรดเดอร์สามารถประเมินและบริหารความเสี่ยงในพอร์ตโฟลิโอได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น หากคุณเปิดสถานะ (position) ในคู่สกุลเงินสองคู่ที่มีความสัมพันธ์เชิงบวกสูงมากในทิศทางเดียวกัน (เช่น ซื้อ EUR/USD และซื้อ GBP/USD พร้อมกัน) เท่ากับว่าคุณกำลังเพิ่มความเสี่ยงต่อการขาดทุนเป็นสองเท่า หากตลาดเคลื่อนไหวสวนทางกับที่คุณคาดการณ์ไว้ ในทางกลับกัน หากคุณเปิดสถานะในคู่สกุลเงินที่มีความสัมพันธ์เชิงลบสูงมาก คุณกำลังกระจายความเสี่ยงหรือแม้กระทั่งสร้างการป้องกันความเสี่ยง (hedging) โดยธรรมชาติ

การเพิ่มประสิทธิภาพผลตอบแทน

ด้วยการใช้ความสัมพันธ์ของสกุลเงิน เทรดเดอร์สามารถสร้างกลยุทธ์ที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้ ตัวอย่างเช่น หากคู่สกุลเงินมีความสัมพันธ์เชิงบวกที่แข็งแกร่งและคุณเห็นสัญญาณการซื้อที่ชัดเจนในคู่หนึ่ง คุณสามารถมองหาการยืนยันสัญญาณเดียวกันในคู่สกุลเงินที่สัมพันธ์กัน เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการเข้าเทรด หรือหากคุณต้องการเปิดสถานะในคู่สกุลเงินที่มีความผันผวนสูง การจับคู่กับสกุลเงินที่มีความสัมพันธ์เชิงลบที่แข็งแกร่งจะช่วยลดความผันผวนโดยรวมของพอร์ตได้

หลักการพื้นฐานที่ทำให้เกิดความสัมพันธ์

ความสัมพันธ์ของคู่สกุลเงินเกิดขึ้นจากหลายปัจจัยหลัก ได้แก่:

  • สกุลเงินหลักที่ใช้ร่วมกัน (Common Major Currency): นี่คือสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด ตัวอย่างเช่น EUR/USD และ GBP/USD ต่างก็มี USD เป็นสกุลเงินหลัก (Quote Currency) ดังนั้น การเคลื่อนไหวของ USD จะส่งผลกระทบต่อทั้งสองคู่ในทิศทางเดียวกันหรือตรงกันข้าม ทำให้เกิดความสัมพันธ์
  • ปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาค (Macroeconomic Factors): เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย การประกาศข้อมูลการจ้างงาน หรือนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางในประเทศสำคัญๆ มักจะส่งผลกระทบต่อสกุลเงินหลักหลายสกุลพร้อมกัน ทำให้คู่สกุลเงินที่เกี่ยวข้องแสดงความสัมพันธ์
  • ความสัมพันธ์ทางการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ (Trade and Geopolitical Ties): ประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางการค้าที่แข็งแกร่ง หรืออยู่ในภูมิภาคทางเศรษฐกิจเดียวกัน มักจะมีการเคลื่อนไหวของสกุลเงินที่สัมพันธ์กันตามธรรมชาติ

ทำความเข้าใจค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (Correlation Coefficient) ใน Forex

ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เป็นตัวเลขที่ใช้แสดงความแข็งแกร่งและทิศทางของความสัมพันธ์ระหว่างคู่สกุลเงินสองคู่ ค่านี้จะอยู่ระหว่าง -1 ถึง +1 ซึ่งแต่ละค่ามีความหมายที่ชัดเจนดังนี้:

กราฟแสดงค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์

ค่าสหสัมพันธ์ +1: ความสัมพันธ์เชิงบวกสมบูรณ์ (Perfect Positive Correlation)

เมื่อค่าสหสัมพันธ์เป็น +1 หมายความว่าคู่สกุลเงินทั้งสองจะเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกันอย่างสมบูรณ์แบบเสมอ หากคู่หนึ่งปรับตัวขึ้น อีกคู่หนึ่งก็จะปรับตัวขึ้นตามในสัดส่วนที่เท่ากัน และในทางกลับกัน ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ EUR/USD กับ GBP/USD มักจะมีความสัมพันธ์เชิงบวกที่สูง เนื่องจากทั้งสองคู่เงินต่างก็มีสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) เป็นสกุลเงินอ้างอิง และเศรษฐกิจของยุโรปกับสหราชอาณาจักรก็มีความเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด หากมีข่าวดีเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทำให้ USD แข็งค่าขึ้น ก็อาจส่งผลให้ทั้ง EUR/USD และ GBP/USD มีแนวโน้มปรับตัวลงพร้อมกัน เนื่องจาก USD อยู่ในตำแหน่งสกุลเงินอ้างอิง หากคุณเปิดสถานะซื้อในทั้งสองคู่พร้อมกัน คุณจะเพิ่มความเสี่ยงเป็นสองเท่า หาก USD แข็งค่าขึ้น คุณก็จะขาดทุนจากทั้งสองสถานะ หากคุณเปิดสถานะขาย คุณก็จะทำกำไรจากทั้งสองสถานะ

ค่าสหสัมพันธ์ -1: ความสัมพันธ์เชิงลบสมบูรณ์ (Perfect Negative Correlation)

เมื่อค่าสหสัมพันธ์เป็น -1 หมายความว่าคู่สกุลเงินทั้งสองจะเคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงกันข้ามกันอย่างสมบูรณ์แบบเสมอ หากคู่หนึ่งปรับตัวขึ้น อีกคู่หนึ่งก็จะปรับตัวลงในสัดส่วนที่เท่ากัน ตัวอย่างที่ดีคือ EUR/USD กับ USD/CHF เนื่องจาก EUR/USD มี USD เป็นสกุลเงินอ้างอิง และ USD/CHF มี USD เป็นสกุลเงินหลัก หาก USD แข็งค่าขึ้น EUR/USD จะมีแนวโน้มลดลง แต่ USD/CHF จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น นี่เป็นโอกาสที่ดีสำหรับการบริหารความเสี่ยงและการป้องกันความเสี่ยง (hedging) หากคุณมีสถานะซื้อใน EUR/USD การเปิดสถานะขายใน USD/CHF จะช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตได้ หากตลาดเคลื่อนไหวสวนทางกับ EUR/USD การขาดทุนบางส่วนจาก EUR/USD อาจถูกชดเชยด้วยกำไรจาก USD/CHF

ค่าสหสัมพันธ์ 0: ไม่มีความสัมพันธ์ (No Correlation)

เมื่อค่าสหสัมพันธ์เป็น 0 หมายความว่าไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างคู่สกุลเงินทั้งสอง การเคลื่อนไหวของคู่สกุลเงินหนึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่ออีกคู่หนึ่งเลย คู่สกุลเงินเหล่านี้มักจะมาจากภูมิภาคทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันมาก หรือได้รับอิทธิพลจากปัจจัยเฉพาะของตนเอง การเทรดคู่สกุลเงินที่ไม่มีความสัมพันธ์กันช่วยให้เทรดเดอร์สามารถกระจายความเสี่ยงในพอร์ตได้ดีที่สุด เนื่องจากผลลัพธ์ของแต่ละการเทรดจะไม่ขึ้นอยู่กับกันและกัน แต่ก็อาจจะไม่สามารถใช้เพื่อยืนยันสัญญาณหรือป้องกันความเสี่ยงในลักษณะเดียวกับคู่ที่มีความสัมพันธ์สูงได้

ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

สิ่งสำคัญที่เทรดเดอร์ต้องเข้าใจคือ ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ไม่ได้เป็นค่าคงที่ แต่จะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ การเมือง และเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ดังนั้น การตรวจสอบค่าความสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะก่อนการเปิดสถานะเทรดใหม่ จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก คุณสามารถใช้เครื่องมือหรือตารางค่าความสัมพันธ์ที่มีอยู่ในเว็บไซต์วิเคราะห์ Forex ต่างๆ ซึ่งมักจะแสดงค่าความสัมพันธ์ในช่วงเวลาต่างๆ เช่น 20 วัน, 60 วัน หรือ 200 วัน เพื่อให้เห็นภาพรวมของความสัมพันธ์ในระยะสั้นและระยะยาว

การนำความสัมพันธ์ของคู่สกุลเงินมาใช้ในกลยุทธ์การเทรด

การใช้ความสัมพันธ์ของสกุลเงินไม่ได้เป็นเพียงการวัดความเสี่ยงเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการปรับปรุงกลยุทธ์การเทรดของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการวิเคราะห์ทางเทคนิคและการกรองสัญญาณที่ไม่ถูกต้อง

ใช้ยืนยันสัญญาณการวิเคราะห์ทางเทคนิค

เมื่อคุณใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อหาจุดเข้าหรือออกจากการเทรด ความสัมพันธ์ของสกุลเงินสามารถทำหน้าที่เป็นตัวยืนยันเพิ่มเติมได้ ตัวอย่างเช่น หากคุณพบสัญญาณ bullish divergence ในคู่ EUR/USD คุณอาจตรวจสอบคู่ GBP/USD ซึ่งมักจะมีความสัมพันธ์เชิงบวกสูง หาก GBP/USD แสดงสัญญาณที่คล้ายกัน ยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับสัญญาณการเทรดของคุณ

การกรองสัญญาณ Breakout ที่ผิดพลาด

หนึ่งในประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของการใช้ความสัมพันธ์ของสกุลเงินคือความสามารถในการกรอง “Breakout ที่ผิดพลาด” (False Breakouts) ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ราคาทะลุแนวรับหรือแนวต้านไปชั่วคราว ก่อนที่จะกลับทิศทางเดิม ทำให้เทรดเดอร์เข้าเทรดผิดทางและขาดทุน

กราฟ USDCHF

กราฟราคาของ USDCHF

กราฟ USDSGD

กราฟราคาของ USDSGD

กราฟ USDJPY

กราฟราคาของ USDJPY

พิจารณาสามคู่สกุลเงินที่มี USD เป็นสกุลเงินหลัก: USDCHF, USDSGD และ USDJPY ทั้งสามคู่แสดงความสัมพันธ์เชิงบวก โดยมีแนวโน้มเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน

จากกราฟตัวอย่างข้างต้น หากคุณกำลังมองหาสัญญาณ Breakout จากเส้นแนวโน้ม (Trendline) เพื่อเปิดสถานะ Short (ขาย) คุณจะสังเกตเห็นว่า:

  • USDJPY: ราคายังคงเคารพเส้นแนวโน้มและเคลื่อนตัวลงอย่างสงบ ไม่มีการ Breakout ที่ชัดเจน
  • USDCHF: ราคามีการ Breakout เส้นแนวโน้มขึ้นไป หลังจากแกว่งตัวอยู่สองครั้ง
  • USDSGD: ราคายังคงเป็นไปตามเส้นแนวโน้มและเคลื่อนตัวลง

หากคุณพิจารณาเพียง USDCHF คุณอาจเข้าใจผิดว่าเป็นการ Breakout จริงและเปิดสถานะ Buy (ซื้อ) ซึ่งอาจนำไปสู่การขาดทุนได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณพิจารณาคู่สกุลเงินที่สัมพันธ์กันอย่าง USDJPY และ USDSGD คุณจะเห็นว่าทั้งสองคู่ไม่ได้มีการ Breakout ที่คล้ายกัน และยังคงเคลื่อนไหวตามแนวโน้มเดิม สิ่งนี้บ่งชี้ได้อย่างชัดเจนว่าการ Breakout ที่เกิดขึ้นใน USDCHF นั้นเป็น “False Breakout”

กฎคือ: คุณต้องรอให้มีการ Breakout ที่แท้จริงเกิดขึ้นในคู่สกุลเงินที่สัมพันธ์กันอย่างน้อยสองคู่ขึ้นไป เพื่อยืนยันความถูกต้องของสัญญาณ การใช้ความสัมพันธ์นี้ช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการเข้าเทรดผิดทางจากสัญญาณลวงตา เพิ่มความน่าจะเป็นในการเทรดที่ประสบความสำเร็จ และปรับแต่งการตั้งค่าการเทรดที่ดีที่สุด

ขั้นตอนการเทรดด้วยกลยุทธ์ความสัมพันธ์ของคู่สกุลเงิน

การเทรดคู่สกุลเงินที่มีความสัมพันธ์กันสามารถทำได้อย่างง่ายดายและปลอดภัยยิ่งขึ้นในแง่ของการบริหารความเสี่ยง โดยมีขั้นตอนดังนี้:

  1. กรองและเลือกคู่สกุลเงินที่สัมพันธ์กัน: ใช้เครื่องมือตรวจสอบความสัมพันธ์ของสกุลเงินเพื่อค้นหาคู่สกุลเงินที่มีความสัมพันธ์เชิงบวกหรือเชิงลบที่แข็งแกร่งอย่างน้อยสามคู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่ที่มีสกุลเงินหลักร่วมกัน ประเภทคู่สกุลเงิน เช่น EUR/USD, GBP/USD และ AUD/USD มักจะมีความสัมพันธ์เชิงบวกสูง
  2. ใช้กลยุทธ์ Forex ของคุณเพื่อวิเคราะห์: นำกลยุทธ์การเทรดที่คุณถนัด ไม่ว่าจะเป็นการใช้ รูปแบบกราฟ (Chart Patterns) หรือการหา แนวรับและแนวต้าน (Support and Resistance) มาใช้กับคู่สกุลเงินที่คุณเลือกไว้ และมองหาสัญญาณการเข้าเทรดที่ชัดเจน
  3. เลือกคู่สกุลเงินที่ดีที่สุดด้วย “สภาพแวดล้อมที่สะอาด”: จากคู่สกุลเงินที่สัมพันธ์กัน ให้เลือกคู่ที่มีการเคลื่อนไหวของราคาที่ชัดเจนที่สุด มี “Noise” หรือความผันผวนที่ไม่เป็นระบบน้อยที่สุด และแสดงสัญญาณตามกลยุทธ์ของคุณได้สอดคล้องและน่าเชื่อถือที่สุด
  4. มองหาการยืนยันจากคู่สกุลเงินอื่นๆ: ก่อนที่จะเปิดสถานะ ให้ตรวจสอบว่าคู่สกุลเงินที่เหลืออีกอย่างน้อยสองคู่ในกลุ่มที่คุณเลือก แสดงสัญญาณที่ยืนยันการเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน (สำหรับความสัมพันธ์เชิงบวก) หรือตรงกันข้าม (สำหรับความสัมพันธ์เชิงลบ) การยืนยันนี้อาจมาในรูปแบบของ แท่งเทียน เช่น แท่งเทียน Bullish/Bearish Engulfing หรือสัญญาณอื่นๆ ที่สนับสนุนการตัดสินใจของคุณ
  5. เปิดคำสั่งซื้อขายโดยปฏิบัติตามกฎความเสี่ยง-ผลตอบแทน: เมื่อได้รับสัญญาณยืนยันที่เพียงพอ ให้เปิดสถานะเทรดในคู่สกุลเงินที่เลือก โดยกำหนดจุดหยุดการขาดทุน (Stop Loss) และจุดทำกำไร (Take Profit) ตามหลักการ การบริหารความเสี่ยง และอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่เหมาะสมของคุณเสมอ

5 อันดับคู่สกุลเงิน Forex ที่มีความสัมพันธ์สูง

คู่สกุลเงินเหล่านี้มักจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันหรือตรงกันข้ามอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่เทรดเดอร์ควรทราบเพื่อวางแผนกลยุทธ์

คู่สกุลเงินหลัก คู่สกุลเงินที่มีความสัมพันธ์สูง
GBPUSD EURUSD
AUDUSD EURUSD
NZDUSD EURUSD
USDCHF USDJPY
NZDUSD AUDUSD

ความหมายสำหรับเทรดเดอร์

  • GBPUSD และ EURUSD: มีความสัมพันธ์เชิงบวกสูงมาก เนื่องจากทั้งสองคู่ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากการเคลื่อนไหวของ USD และเศรษฐกิจในยุโรปก็มีความเชื่อมโยงกัน หากคุณเทรดทั้งสองคู่ในทิศทางเดียวกัน คุณกำลังเพิ่มความเสี่ยงเป็นสองเท่า หากคุณต้องการกระจายความเสี่ยง คุณอาจต้องมองหาคู่สกุลเงินที่มีความสัมพันธ์ต่ำกว่า
  • AUDUSD และ EURUSD: ก็มีความสัมพันธ์เชิงบวกเช่นกัน แม้ว่า AUD (ดอลลาร์ออสเตรเลีย) จะเป็นสกุลเงินที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ (commodity currency) แต่การที่ USD เป็นสกุลเงินหลักในทั้งสองคู่ยังคงทำให้เกิดความสัมพันธ์นี้
  • NZDUSD และ EURUSD: คล้ายคลึงกับ AUDUSD ที่ NZD (ดอลลาร์นิวซีแลนด์) ก็เป็นสกุลเงินสินค้าโภคภัณฑ์ แต่การมี USD เป็นสกุลเงินหลักร่วมกันยังคงสร้างความสัมพันธ์เชิงบวก
  • USDCHF และ USDJPY: มักมีความสัมพันธ์เชิงบวกที่สูง เพราะทั้งสองคู่มี USD เป็นสกุลเงินหลัก และ CHF (ฟรังก์สวิส) กับ JPY (เยนญี่ปุ่น) มักถูกจัดเป็นสกุลเงินปลอดภัย (safe-haven currencies) ซึ่งหมายความว่านักลงทุนมักจะหันไปหาสกุลเงินเหล่านี้ในช่วงเวลาที่ตลาดมีความไม่แน่นอน การเคลื่อนไหวของ USD จะส่งผลกระทบต่อทั้งสองในทิศทางเดียวกัน
  • NZDUSD และ AUDUSD: มีความสัมพันธ์เชิงบวกที่แข็งแกร่งมาก เนื่องจากทั้งนิวซีแลนด์และออสเตรเลียมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและภูมิศาสตร์ที่ใกล้ชิด และทั้งสองสกุลเงินต่างก็เป็นสกุลเงินสินค้าโภคภัณฑ์ ดังนั้น การประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญๆ ในภูมิภาคนี้จึงมักส่งผลกระทบต่อทั้งสองคู่พร้อมกัน หากคุณเทรดทั้งสองคู่นี้พร้อมกัน คุณต้องระมัดระวังเรื่องการกระจุกตัวของความเสี่ยง

การจัดการความเสี่ยงด้วยกลยุทธ์ความสัมพันธ์ของคู่สกุลเงิน

การนำความสัมพันธ์ของคู่สกุลเงินมาใช้ในการบริหารความเสี่ยงเป็นหัวใจสำคัญของการเทรดที่ยั่งยืน การทำความเข้าใจว่าคู่สกุลเงินใดเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันหรือตรงกันข้ามจะช่วยให้คุณสามารถปรับพอร์ตการลงทุนของคุณให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

หลีกเลี่ยงการเพิ่มความเสี่ยงโดยไม่ตั้งใจ

สมมติว่าคุณเชื่อว่าสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) จะอ่อนค่าลง และคุณต้องการเปิดสถานะ Short (ขาย) ใน USDCHF หากคุณเปิดสถานะ Short ใน USDCHF เพียงคู่เดียว การตัดสินใจของคุณจะขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวของคู่นั้นเท่านั้น แต่ถ้าคุณเปิดสถานะ Short ใน USDCHF และ USDSGD พร้อมกัน โดยที่ทั้งสองคู่มีความสัมพันธ์เชิงบวกสูง (หมายความว่า หาก USD อ่อนค่า ทั้งสองคู่ควรจะลดลง) คุณกำลังเพิ่มขนาดการลงทุนที่ขึ้นอยู่กับสมมติฐานเดียวกันเป็นสองเท่า หาก USD แข็งค่าขึ้นสวนทางกับที่คุณคาดการณ์ไว้ คุณก็จะขาดทุนจากทั้งสองสถานะอย่างหนัก

การกระจายความเสี่ยงอย่างชาญฉลาด

จากตัวอย่างข้างต้น หากคุณเปิดสถานะ Short ใน USDCHF และ USDSGD โดยกระจายขนาดการเทรดออกไป (เช่น แบ่งความเสี่ยงเท่าๆ กันระหว่างสองคู่) แม้ว่าตลาดจะมีการ Breakout ที่ผิดพลาดในคู่ใดคู่หนึ่ง เช่น USDCHF มีการ Breakout ขึ้นไป ทำให้คุณโดน Stop Loss แต่ถ้า USDSGD ยังคงเคลื่อนไหวตามแนวโน้มที่คุณคาดการณ์ไว้และไปถึงจุดทำกำไร (Take Profit) ได้ กำไรจาก USDSGD อาจช่วยชดเชยการขาดทุนจาก USDCHF ทำให้ผลลัพธ์โดยรวมของพอร์ตยังคงเป็นบวก หรือขาดทุนน้อยลง กลยุทธ์นี้ช่วย “ลดปัจจัยเสี่ยง” จากการพึ่งพาคู่สกุลเงินเพียงคู่เดียว และเพิ่มความยืดหยุ่นให้พอร์ตของคุณ

กฎสำคัญในการบริหารความเสี่ยงด้วยความสัมพันธ์

  • หลีกเลี่ยงการเปิดสถานะทิศทางเดียวกันในคู่ที่สัมพันธ์เชิงบวกสูง: หากคุณต้องการเทรดคู่ที่สัมพันธ์เชิงบวกสูง ให้พิจารณาเปิดสถานะในคู่เดียว หรือใช้การบริหารเงินที่ระมัดระวังอย่างมาก เช่น ลดขนาดล็อตลงอย่างมีนัยสำคัญ
  • ใช้คู่ที่สัมพันธ์เชิงลบเพื่อ Hedging: หากคุณมีสถานะในคู่สกุลเงินหนึ่งแล้ว และต้องการลดความเสี่ยงจากการเคลื่อนไหวที่ไม่พึงประสงค์ การเปิดสถานะในคู่ที่มีความสัมพันธ์เชิงลบสูงในทิศทางตรงกันข้ามสามารถช่วยป้องกันความเสี่ยง (Hedge) ได้ ตัวอย่างเช่น หากคุณซื้อ EUR/USD คุณอาจพิจารณาขาย USD/CHF เพื่อป้องกันความเสี่ยง
  • ตรวจสอบค่าความสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ: ค่าความสัมพันธ์ไม่คงที่ การตรวจสอบตารางความสัมพันธ์เป็นประจำจะช่วยให้คุณปรับกลยุทธ์ได้ทันท่วงที

สร้างวินัยการเทรดเพื่อความสำเร็จที่ยั่งยืน

การเทรด Forex ไม่ใช่เรื่องยาก หากคุณมีวินัยและความเข้าใจในหลักการบริหารความเสี่ยงที่ถูกต้อง ดังที่กล่าวมาข้างต้น การใช้ความสัมพันธ์ของสกุลเงินเป็นเพียงหนึ่งในเครื่องมือที่ชาญฉลาดที่จะช่วยให้คุณวางแผนการเทรดได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น

หากปราศจากวินัยและการบริหารความเสี่ยง เทรดเดอร์ไม่สามารถทำกำไรในธุรกิจนี้ได้อย่างยั่งยืน การเป็น “Smart Trader” คือการเลือกที่จะ เทรดอย่างมืออาชีพ โดยอาศัยข้อมูลเชิงลึก เครื่องมือวิเคราะห์ และการวางแผนที่รัดกุม แทนที่จะ “ไหลไปตามกระแส” หรือตัดสินใจตามอารมณ์หรือข่าวลือที่ไม่มีมูลความจริง การมีวินัยในการปฏิบัติตามแผนการเทรดที่กำหนดไว้ การควบคุมอารมณ์ และการเรียนรู้ปรับปรุงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง คือกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในระยะยาวในตลาด Forex

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

1. ความสัมพันธ์ของสกุลเงินคืออะไร และมีความสำคัญอย่างไร?

ความสัมพันธ์ของสกุลเงิน (Currency Correlation) คือการวัดระดับที่คู่สกุลเงินสองคู่เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันหรือทิศทางตรงกันข้าม โดยแสดงเป็นค่าสัมประสิทธิ์ระหว่าง -1 ถึง +1 มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเทรดเดอร์ในการบริหารความเสี่ยงของพอร์ตโฟลิโอ เช่น การหลีกเลี่ยงการเปิดสถานะที่เพิ่มความเสี่ยงโดยไม่ตั้งใจ หรือการใช้เพื่อป้องกันความเสี่ยง (Hedging) นอกจากนี้ยังช่วยในการยืนยันสัญญาณการเทรดและกรอง False Breakouts.

2. ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ 1, -1, และ 0 หมายถึงอะไรในการเทรด Forex?

  • ค่า +1: หมายถึงความสัมพันธ์เชิงบวกสมบูรณ์ คู่สกุลเงินทั้งสองเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกันอย่างสมบูรณ์
  • ค่า -1: หมายถึงความสัมพันธ์เชิงลบสมบูรณ์ คู่สกุลเงินทั้งสองเคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงกันข้ามอย่างสมบูรณ์
  • ค่า 0: หมายถึงไม่มีความสัมพันธ์ การเคลื่อนไหวของคู่สกุลเงินหนึ่งไม่ส่งผลกระทบต่ออีกคู่หนึ่ง

ค่าเหล่านี้ช่วยให้เทรดเดอร์เข้าใจว่าการเคลื่อนไหวของคู่สกุลเงินหนึ่งมีแนวโน้มจะส่งผลต่ออีกคู่หนึ่งอย่างไร

3. เราจะใช้ความสัมพันธ์ของสกุลเงินเพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทนได้อย่างไร?

ในการลดความเสี่ยง คุณควรหลีกเลี่ยงการเปิดสถานะในทิศทางเดียวกันในหลายคู่ที่สัมพันธ์เชิงบวกสูง เพราะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น คุณอาจใช้คู่ที่สัมพันธ์เชิงลบเพื่อสร้างกลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยง (Hedging) เพื่อเพิ่มผลตอบแทน คุณสามารถใช้ความสัมพันธ์เพื่อยืนยันสัญญาณการเทรดที่พบจากการวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจในการเข้าเทรด และกรอง False Breakouts ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. มีเครื่องมือหรือเว็บไซต์ใดบ้างที่ช่วยในการตรวจสอบความสัมพันธ์ของสกุลเงิน?

มีเครื่องมือ “Correlation Matrix” หรือตารางความสัมพันธ์ของสกุลเงินให้บริการบนเว็บไซต์วิเคราะห์ Forex และแพลตฟอร์มการเทรดหลายแห่ง เช่น Investing.com, Myfxbook หรือบนแพลตฟอร์ม MT4/MT5 เองก็อาจมีอินดิเคเตอร์ที่ช่วยคำนวณค่าเหล่านี้ได้ คุณสามารถค้นหา “Forex Correlation Matrix” บน Google เพื่อหาเครื่องมือที่เหมาะสมได้

5. ความสัมพันธ์ของสกุลเงินเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ และควรตรวจสอบบ่อยแค่ไหน?

ใช่ ความสัมพันธ์ของสกุลเงินไม่คงที่และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ การเมือง และเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ทั่วโลก เทรดเดอร์ควรตรวจสอบค่าความสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ อาจจะเป็นรายวัน รายสัปดาห์ หรือก่อนที่จะเปิดสถานะการเทรดใหม่ โดยพิจารณาช่วงเวลาของค่าความสัมพันธ์ (เช่น 20 วัน, 60 วัน, 200 วัน) เพื่อให้เห็นภาพรวมทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

สรุป

ความสัมพันธ์ของคู่สกุลเงิน (Currency Correlation) เป็นแนวคิดพื้นฐานแต่ทรงพลังที่เทรดเดอร์ทุกคนควรทำความเข้าใจและนำไปประยุกต์ใช้ในการเทรด Forex การใช้เครื่องมือนี้อย่างชาญฉลาดไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณสามารถบริหารความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดโอกาสในการขาดทุนจาก False Breakouts แต่ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอและยั่งยืน ด้วยการพิจารณาความสัมพันธ์ของคู่สกุลเงินร่วมกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคและวินัยการเทรดที่แข็งแกร่ง คุณจะสามารถก้าวขึ้นเป็น Smart Trader ที่สามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำและมั่นใจในทุกสถานการณ์ของตลาด

เริ่มต้นนำความรู้นี้ไปปรับใช้กับกลยุทธ์การเทรดของคุณวันนี้ เพื่อสร้างพอร์ตการลงทุนที่แข็งแกร่งและประสบความสำเร็จในระยะยาว!

สำหรับพี่ๆที่สนใจเข้ากลุ่มผู้ใช้ EA เปิดบัญชีคลิกที่ลิงค์
ส่งเลข MT4 รับลิงค์ได้เลย

________________________________________________

________________________________________________

♥️ สอบถามเพิ่มเติมที่📱https://bit.ly/MTRatsamee
Line id : @ft.th https://lin.ee/u0dwlLM
——–

ติดตามเราได้ที่
📧LINE: @ft.th (https://lin.ee/u0dwlLM )
🎬Youtube: FTT – investing (https://shorturl.asia/7wqIe )
_____________________________________________

You Might Also Like

Contact Us on Line