เปิดโลกการเทรด: 19 รูปแบบแผนภูมิที่นักลงทุนต้องรู้ พร้อมกลยุทธ์ทำกำไรอย่างมืออาชีพ

Introduction: ทำความเข้าใจรูปแบบแผนภูมิเพื่อการตัดสินใจที่เหนือกว่า
ในโลกของการลงทุนและ การซื้อขาย Forex การทำความเข้าใจพฤติกรรมราคาในตลาดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นเครื่องมือหลักที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถคาดการณ์ทิศทางของราคาในอนาคตได้ และหนึ่งในองค์ประกอบที่ทรงพลังที่สุดของการวิเคราะห์ทางเทคนิคคือ “รูปแบบแผนภูมิ” (Chart Patterns) รูปแบบเหล่านี้ไม่ใช่เพียงแค่เส้นกราฟที่ซับซ้อน แต่เป็นการสะท้อนถึงจิตวิทยาของตลาด การต่อสู้กันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ กันมานานนับทศวรรษ
บทความนี้จะเจาะลึกถึง 19 รูปแบบแผนภูมิที่สำคัญ ซึ่งแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ทั้งรูปแบบการกลับตัว (Reversal Patterns) และรูปแบบความต่อเนื่อง (Continuation Patterns) เพื่อให้คุณสามารถระบุและใช้ประโยชน์จากสัญญาณเหล่านี้ในการวาง กลยุทธ์การซื้อขาย ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเทรดมือใหม่หรือผู้มีประสบการณ์ การทำความเข้าใจรูปแบบเหล่านี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการตัดสินใจ และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในตลาดที่มีความผันผวนสูงได้อย่างแน่นอน

รูปแบบแผนภูมิคืออะไร?
รูปแบบแผนภูมิ หรือ Chart Patterns คือการก่อตัวของราคาบนกราฟที่แสดงให้เห็นถึงโครงสร้างที่เป็นเอกลักษณ์และเกิดซ้ำๆ กันเมื่อเวลาผ่านไป รูปแบบเหล่านี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์และพฤติกรรมของนักลงทุนในตลาด ซึ่งนำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาที่สามารถคาดการณ์ได้ในระดับหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ นักเทรดจึงใช้รูปแบบเหล่านี้เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์และคาดการณ์ทิศทางของตลาดในอนาคต เพื่อวางแผน กลยุทธ์การเทรด ไม่ว่าจะเป็นการเข้าซื้อ (Buy) หรือขาย (Sell) ทำไมรูปแบบเหล่านี้ถึงมีประโยชน์?
- การสะท้อนจิตวิทยาตลาด: รูปแบบต่างๆ เกิดขึ้นจากการกระทำร่วมกันของนักลงทุนจำนวนมากที่ตอบสนองต่อข้อมูลและอารมณ์ต่างๆ ซึ่งทำให้เกิดโครงสร้างราคาที่คล้ายคลึงกันซ้ำไปมา
- ความน่าเชื่อถือทางสถิติ: จากการศึกษาข้อมูลในอดีต พบว่าเมื่อเกิดรูปแบบแผนภูมิบางประเภท มักจะตามมาด้วยการเคลื่อนไหวของราคาในทิศทางที่สอดคล้องกันอย่างมีนัยสำคัญ
- เครื่องมือในการตัดสินใจ: รูปแบบแผนภูมิช่วยให้นักเทรดสามารถกำหนดจุดเข้า (Entry Point), จุดออก (Exit Point), และจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ได้อย่างมีหลักการ
รูปแบบแผนภูมิโดยทั่วไปประกอบด้วยคลื่นราคาหรือการแกว่งตัวของแท่งเทียนที่ก่อให้เกิดรูปร่างเฉพาะ เช่น รูปแบบ Head and Shoulders, Double Top, Double Bottom, สามเหลี่ยม (Triangle), และธง (Flag) เป็นต้น การทำความเข้าใจโครงสร้างและผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ของแต่ละรูปแบบจะช่วยให้คุณเป็นนักเทรดที่มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจมากขึ้น
ประเภทของรูปแบบแผนภูมิ
รูปแบบแผนภูมิสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักตามลักษณะและผลกระทบต่อแนวโน้มราคา ดังนี้:
- รูปแบบการกลับตัว (Reversal Chart Patterns): รูปแบบเหล่านี้บ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ที่แนวโน้มปัจจุบันกำลังจะสิ้นสุดลงและเปลี่ยนทิศทางไปในทางตรงกันข้าม ตัวอย่างเช่น หากราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Bullish Trend) และเกิดรูปแบบการกลับตัวขาลง (Bearish Reversal Pattern) ขึ้น นั่นหมายความว่าแนวโน้มอาจจะเปลี่ยนเป็นขาลง (Bearish Trend) ในไม่ช้า
- รูปแบบความต่อเนื่อง (Continuation Chart Patterns): รูปแบบเหล่านี้บ่งชี้ว่าแนวโน้มปัจจุบันจะยังคงดำเนินต่อไปหลังจากที่ราคาได้มีการพักตัวหรือรวมฐาน (Consolidation) ชั่วคราว การปรากฏของรูปแบบเหล่านี้มักจะนำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาในทิศทางเดิมก่อนหน้าที่จะมีการพักตัว
รูปแบบย่อยทั้งสองประเภทนี้ยังสามารถแบ่งออกเป็น Bullish Chart Patterns (รูปแบบที่บ่งชี้ถึงแนวโน้มขาขึ้น) และ Bearish Chart Patterns (รูปแบบที่บ่งชี้ถึงแนวโน้มขาลง) ตามรูปร่างและโครงสร้างของตลาดที่ปรากฏ
รายการรูปแบบแผนภูมิ 19 อันดับแรกที่นักลงทุนควรรู้
1. Double Top (ดับเบิ้ลท็อป)

คืออะไร: Double Top เป็นรูปแบบการกลับตัวของแนวโน้มขาลง (Bearish Reversal Pattern) ที่ทรงพลังและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง มันบ่งชี้ถึงการที่ราคาพยายามที่จะขึ้นไปทำจุดสูงสุดสองครั้งที่ระดับแนวต้านเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน แต่ไม่สามารถทะลุผ่านไปได้
ทำไมถึงเกิด: รูปแบบนี้เกิดขึ้นเมื่อผู้ซื้อพยายามผลักดันราคาขึ้นไป แต่ถูกปฏิเสธโดยผู้ขายที่เข้ามาเทขายที่ระดับราคาเดิม ทำให้เกิดยอดแรกขึ้นมา จากนั้นราคาจะปรับตัวลงมาสู่จุดต่ำสุดชั่วคราว (Swing Low) ซึ่งเรียกว่า Neckline ผู้ซื้อพยายามอีกครั้งเพื่อผลักดันราคาให้สูงขึ้นไปทดสอบระดับแนวต้านเดิม แต่ก็ล้มเหลวอีกครั้ง ทำให้เกิดยอดที่สองขึ้นมา การที่ราคาไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าแรงซื้อเริ่มอ่อนแรงลง และแรงขายกำลังเข้ามาครอบงำตลาด
อย่างไร: การยืนยันของรูปแบบ Double Top จะเกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุผ่านระดับ Neckline (เส้นที่เชื่อมระหว่างจุดต่ำสุดชั่วคราวระหว่างสองยอด) ลงมา เมื่อ Neckline ถูกทะลุ นี่คือสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้มจากขาขึ้นเป็นขาลง
กฎและเคล็ดลับ:
- แนวโน้มก่อนหน้า: ต้องเป็นแนวโน้มขาขึ้น (Bullish Trend) ที่ชัดเจนและก่อตัวที่ปลายของแนวโน้ม
- ยอดราคา: ยอดทั้งสองควรมีระดับราคาใกล้เคียงกัน อาจไม่จำเป็นต้องเท่ากันเป๊ะ
- Neckline: วาด Neckline โดยใช้จุดต่ำสุด (Swing Low) ที่อยู่ระหว่างสองยอด
- การยืนยัน: การฝ่าวงล้อม (Breakout) ของ Neckline ลงมาพร้อมกับปริมาณการซื้อขาย (Volume) ที่เพิ่มขึ้นจะช่วยยืนยันความแข็งแกร่งของสัญญาณ
- เป้าหมายราคา: วัดระยะจากยอดสูงสุดลงมาถึง Neckline แล้วนำระยะนั้นไปลบจากจุด Breakout ของ Neckline เพื่อหาเป้าหมายราคาขั้นต่ำ
ผลลัพธ์เป็นอย่างไร: หากเกิดการ Breakout ที่ Neckline อย่างสมบูรณ์ มักจะตามมาด้วยการเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงในทิศทางขาลง หากคุณไม่สนใจสัญญาณนี้ คุณอาจจะพลาดโอกาสในการทำกำไรจากการ Short Sell หรือติดดอยหากถือสถานะ Long อยู่
2. Double Bottom (ดับเบิ้ลบอททอม)

คืออะไร: Double Bottom เป็นรูปแบบการกลับตัวของแนวโน้มขาขึ้น (Bullish Reversal Pattern) ซึ่งตรงข้ามกับ Double Top โดยสิ้นเชิง รูปแบบนี้บ่งชี้ว่าราคาได้พยายามที่จะลงไปทำจุดต่ำสุดสองครั้งที่ระดับแนวรับเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน แต่ไม่สามารถทะลุลงไปได้ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าแรงขายเริ่มอ่อนแรงและแรงซื้อกำลังจะเข้ามาแทนที่
ทำไมถึงเกิด: รูปแบบนี้เกิดขึ้นเมื่อผู้ขายพยายามผลักดันราคาลงมา แต่ถูกปฏิเสธโดยผู้ซื้อที่เข้ามาพยุงราคาที่ระดับแนวรับ ทำให้เกิดจุดต่ำสุดแรกขึ้นมา จากนั้นราคาจะปรับตัวขึ้นมาสู่จุดสูงสุดชั่วคราว (Swing High) ซึ่งเรียกว่า Neckline ผู้ขายพยายามอีกครั้งเพื่อผลักดันราคาให้ต่ำลงไปทดสอบระดับแนวรับเดิม แต่ก็ล้มเหลวอีกครั้ง ทำให้เกิดจุดต่ำสุดที่สองขึ้นมา การที่ราคาไม่สามารถทำจุดต่ำสุดใหม่ได้แสดงให้เห็นว่าแรงขายเริ่มหมดลง และตลาดกำลังจะเปลี่ยนทิศทางเป็นขาขึ้น
อย่างไร: การยืนยันของรูปแบบ Double Bottom จะเกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุผ่านระดับ Neckline (เส้นที่เชื่อมระหว่างจุดสูงสุดชั่วคราวระหว่างสองจุดต่ำสุด) ขึ้นไป เมื่อ Neckline ถูกทะลุ นี่คือสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้มจากขาลงเป็นขาขึ้น
กฎและเคล็ดลับ:
- แนวโน้มก่อนหน้า: ต้องเป็นแนวโน้มขาลง (Bearish Trend) ที่ชัดเจนและก่อตัวที่ปลายของแนวโน้ม
- จุดต่ำสุด: จุดต่ำสุดทั้งสองควรมีระดับราคาใกล้เคียงกัน
- Neckline: วาด Neckline โดยใช้จุดสูงสุด (Swing High) ที่อยู่ระหว่างสองจุดต่ำสุด
- การยืนยัน: การ Breakout ของ Neckline ขึ้นไปพร้อมกับ Volume ที่เพิ่มขึ้นจะยืนยันความแข็งแกร่งของสัญญาณ
- เป้าหมายราคา: วัดระยะจากจุดต่ำสุดขึ้นมาถึง Neckline แล้วนำระยะนั้นไปบวกจากจุด Breakout ของ Neckline เพื่อหาเป้าหมายราคาขั้นต่ำ
ผลลัพธ์เป็นอย่างไร: หากเกิดการ Breakout ที่ Neckline อย่างสมบูรณ์ มักจะตามมาด้วยการเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงในทิศทางขาขึ้น หากคุณสามารถระบุรูปแบบนี้ได้ คุณจะมีโอกาสในการเข้าซื้อในราคาที่เหมาะสมก่อนที่แนวโน้มจะกลับตัวขึ้นไปอย่างเต็มที่
3. Triple Top (ทริปเปิ้ลท็อป)

คืออะไร: Triple Top เป็นรูปแบบการกลับตัวของแนวโน้มขาลง (Bearish Reversal Pattern) ที่คล้ายคลึงกับ Double Top แต่มีความแข็งแกร่งของสัญญาณที่มากกว่า เนื่องจากราคามีการพยายามขึ้นไปทดสอบระดับแนวต้านเดียวกันถึงสามครั้ง แต่ไม่สามารถทะลุผ่านไปได้เลย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของแรงซื้ออย่างต่อเนื่อง
ทำไมถึงเกิด: รูปแบบนี้บ่งบอกถึงการต่อสู้ที่รุนแรงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย โดยผู้ซื้อพยายามผลักดันราคาให้สูงขึ้นถึงสามครั้งที่ระดับราคาหนึ่ง แต่ทุกครั้งก็ถูกแรงขายกดดันกลับลงมา การที่ราคาสร้างยอดสูงสุดสามยอดที่ระดับใกล้เคียงกัน แสดงให้เห็นว่าระดับแนวต้านนั้นแข็งแกร่งมาก และตลาดกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการกลับตัวเป็นขาลง
อย่างไร: การยืนยันของรูปแบบ Triple Top เกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุผ่าน Neckline ซึ่งเป็นเส้นที่เชื่อมระหว่างจุดต่ำสุดชั่วคราวทั้งสองจุดที่อยู่ระหว่างยอดทั้งสาม การ Breakout ของ Neckline จะเป็นสัญญาณที่ชัดเจนในการเข้าสู่สถานะ Short หรือปิดสถานะ Long
กฎและเคล็ดลับ:
- แนวโน้มก่อนหน้า: ต้องเป็นแนวโน้มขาขึ้นที่ชัดเจนและก่อตัวที่ปลายของแนวโน้ม
- ยอดราคา: ยอดทั้งสามควรมีระดับราคาใกล้เคียงกัน และควรมีระยะห่างกันพอสมควรเพื่อแสดงถึงการต่อสู้ที่แท้จริง
- Neckline: ลากเส้นเชื่อมจุดต่ำสุด (Swing Lows) ทั้งสองที่อยู่ระหว่างยอดทั้งสาม ซึ่งจะกลายเป็น Neckline
- การยืนยัน: การทะลุ Neckline ลงมาอย่างชัดเจน พร้อมด้วยปริมาณการซื้อขายที่สูงขึ้น เป็นสัญญาณยืนยันที่น่าเชื่อถือ
- เป้าหมายราคา: วัดระยะจากยอดสูงสุดลงมาถึง Neckline และคาดการณ์ว่าราคาจะปรับตัวลงอย่างน้อยเท่ากับระยะนั้นจากจุด Breakout
ผลลัพธ์เป็นอย่างไร: การ Breakout ที่สมบูรณ์ของ Triple Top มักจะนำไปสู่การลดลงของราคาอย่างรวดเร็วและรุนแรง เนื่องจากผู้ซื้อที่เคยพยายามผลักดันราคาขึ้นมาได้ยอมแพ้ ทำให้แรงขายเข้ามาครอบงำตลาดอย่างเต็มที่
4. Triple Bottom (ทริปเปิ้ลบอททอม)

คืออะไร: Triple Bottom คือรูปแบบการกลับตัวของแนวโน้มขาขึ้น (Bullish Reversal Pattern) ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของ Triple Top รูปแบบนี้บ่งชี้ว่าราคาได้ลงไปทดสอบระดับแนวรับเดียวกันถึงสามครั้ง แต่ไม่สามารถทะลุลงไปได้เลย ซึ่งเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งว่าแรงขายได้หมดลงแล้ว และแรงซื้อกำลังเข้ามาควบคุมตลาด
ทำไมถึงเกิด: รูปแบบนี้แสดงให้เห็นว่าผู้ขายพยายามผลักดันราคาให้ต่ำลงสามครั้งที่ระดับราคาหนึ่ง แต่ทุกครั้งก็ถูกแรงซื้อที่แข็งแกร่งเข้ามาพยุงราคาไว้ การที่ราคาสร้างจุดต่ำสุดสามจุดที่ระดับใกล้เคียงกัน แสดงให้เห็นว่าระดับแนวรับนั้นแข็งแกร่งมาก และตลาดกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการกลับตัวเป็นขาขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไร: การยืนยันของรูปแบบ Triple Bottom เกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุผ่าน Neckline ซึ่งเป็นเส้นที่เชื่อมระหว่างจุดสูงสุดชั่วคราวทั้งสองจุดที่อยู่ระหว่างจุดต่ำสุดทั้งสาม การ Breakout ของ Neckline ขึ้นไปจะเป็นสัญญาณที่ชัดเจนในการเข้าสู่สถานะ Long หรือปิดสถานะ Short
กฎและเคล็ดลับ:
- แนวโน้มก่อนหน้า: ต้องเป็นแนวโน้มขาลงที่ชัดเจนและก่อตัวที่ปลายของแนวโน้ม
- จุดต่ำสุด: จุดต่ำสุดทั้งสามควรมีระดับราคาใกล้เคียงกัน และมีระยะห่างกันพอสมควร
- Neckline: ลากเส้นเชื่อมจุดสูงสุด (Swing Highs) ทั้งสองที่อยู่ระหว่างจุดต่ำสุดทั้งสาม ซึ่งจะกลายเป็น Neckline
- การยืนยัน: การทะลุ Neckline ขึ้นไปอย่างชัดเจน พร้อมด้วยปริมาณการซื้อขายที่สูงขึ้น เป็นสัญญาณยืนยันที่น่าเชื่อถือ การเรียนรู้การวิเคราะห์ Swing Low และ Swing High รวมถึงคลื่น Impulsive จะช่วยให้เข้าใจโครงสร้างนี้ได้ดีขึ้น
- เป้าหมายราคา: วัดระยะจากจุดต่ำสุดขึ้นมาถึง Neckline และคาดการณ์ว่าราคาจะปรับตัวขึ้นอย่างน้อยเท่ากับระยะนั้นจากจุด Breakout
ผลลัพธ์เป็นอย่างไร: การ Breakout ที่สมบูรณ์ของ Triple Bottom มักจะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของราคาอย่างรวดเร็วและรุนแรง เนื่องจากผู้ขายที่เคยพยายามผลักดันราคาลงมาได้ยอมแพ้ ทำให้แรงซื้อเข้ามาครอบงำตลาดอย่างเต็มที่และขับเคลื่อนราคาขึ้นไป
5. Head and Shoulders Pattern (รูปแบบหัวและไหล่)

คืออะไร: Head and Shoulders เป็นหนึ่งในรูปแบบการกลับตัว (Reversal Pattern) ที่น่าเชื่อถือและเป็นที่รู้จักมากที่สุดใน การวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปรากฏที่จุดสิ้นสุดของแนวโน้มขาขึ้น รูปแบบนี้บ่งชี้ถึงการสิ้นสุดของแนวโน้มขาขึ้นและเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งของการกลับตัวเป็นขาลง
ทำไมถึงเกิด: รูปแบบนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิทยาของตลาดอย่างค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากแรงซื้อที่ยังคงแข็งแกร่ง (ไหล่ซ้าย) ก่อนที่จะทำจุดสูงสุดใหม่ (ศีรษะ) ซึ่งเป็นจุดสูงสุดที่นักลงทุนรู้สึกถึงความตึงเครียดและเริ่มเทขาย จากนั้นราคาจะปรับตัวลงมาสู่ Neckline และพยายามขึ้นไปอีกครั้ง (ไหล่ขวา) แต่ไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้เท่าศีรษะ ซึ่งเป็นสัญญาณชัดเจนว่าแรงซื้ออ่อนแอลงอย่างมาก และแรงขายกำลังเข้ามาครอบงำ
โครงสร้างของรูปแบบ:
- ไหล่ซ้าย (Left Shoulder): ราคาทะยานขึ้นไปทำจุดสูงสุด จากนั้นปรับตัวลงมา
- ศีรษะ (Head): ราคาพุ่งขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่สูงกว่าไหล่ซ้าย จากนั้นปรับตัวลงมาทะลุระดับต่ำสุดของไหล่ซ้าย
- ไหล่ขวา (Right Shoulder): ราคาพุ่งขึ้นไปอีกครั้ง แต่ทำจุดสูงสุดได้ต่ำกว่าศีรษะ จากนั้นปรับตัวลงมา
- Neckline: เส้นที่เชื่อมจุดต่ำสุดระหว่างไหล่ซ้ายกับศีรษะ และศีรษะกับไหล่ขวา โดยทั่วไปจะเป็นเส้นแนวโน้มที่เอียงขึ้น ลง หรือเป็นเส้นตรง
อย่างไร: การยืนยันของรูปแบบ Head and Shoulders เกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุผ่าน Neckline ลงมาอย่างชัดเจน การ Breakout ของ Neckline พร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นจะเป็นสัญญาณในการเข้าสู่สถานะ Short หรือปิดสถานะ Long
กฎและเคล็ดลับ:
- แนวโน้มก่อนหน้า: ต้องเป็นแนวโน้มขาขึ้นที่ชัดเจนและก่อตัวที่ปลายของแนวโน้ม
- ปริมาณการซื้อขาย: ปริมาณการซื้อขายมักจะสูงสุดที่ไหล่ซ้าย ลดลงที่ศีรษะ และลดลงอีกที่ไหล่ขวา ซึ่งเป็นการยืนยันความอ่อนแอของแรงซื้อ
- การวัดเป้าหมายราคา: วัดระยะจากจุดสูงสุดของศีรษะลงมาที่ Neckline แล้วนำระยะนั้นไปลบจากจุด Breakout ของ Neckline เพื่อหาเป้าหมายราคาขั้นต่ำ
- รูปแบบ Inverse Head and Shoulders: เป็นรูปแบบตรงข้ามกันซึ่งเป็นสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้มขาลงเป็นขาขึ้น (ดูเพิ่มเติมที่นี่)
ผลลัพธ์เป็นอย่างไร: เมื่อ Neckline ถูกทะลุ รูปแบบ Head and Shoulders มักจะนำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงในทิศทางขาลง นักลงทุนที่สามารถระบุและตอบสนองต่อสัญญาณนี้ได้อย่างรวดเร็วจะมีโอกาสในการทำกำไรจากการ Short Sell หรือหลีกเลี่ยงการขาดทุนจากการถือสถานะ Long
6. Cup and Handle Chart Pattern (รูปแบบแผนภูมิถ้วยและด้ามจับ)

คืออะไร: Cup and Handle เป็นรูปแบบแผนภูมิที่ถูกนำเสนอครั้งแรกโดย William J. O’Neil เป็นรูปแบบความต่อเนื่องของแนวโน้มขาขึ้น (Bullish Continuation Pattern) ที่ดูเหมือนถ้วยกาแฟที่มีหูจับอยู่ด้านขวา รูปแบบนี้บ่งชี้ถึงการพักตัวของราคาในช่วงขาขึ้น ก่อนที่จะมีการเคลื่อนไหวขึ้นต่อไป
ทำไมถึงเกิด: รูปแบบ “ถ้วย” เกิดขึ้นเมื่อราคาปรับตัวลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป คล้ายรูปตัว U หรือก้นโค้งมน (Round Bottom) ซึ่งแสดงถึงการสะสมกำลังหลังจากที่ราคาได้ปรับตัวลงมาถึงจุดต่ำสุด จากนั้นราคาจะฟื้นตัวกลับขึ้นไปสู่จุดเริ่มต้นของถ้วย “ด้ามจับ” จะก่อตัวขึ้นเมื่อราคามีการพักตัวเล็กน้อยในกรอบแคบๆ ซึ่งอาจเป็นรูปแบบสามเหลี่ยมหรือธง ที่ด้านขวาของถ้วยก่อนที่จะมีการ Breakout ขึ้นไป การพักตัวนี้แสดงถึงการรวมฐานและการเตรียมพร้อมสำหรับแรงซื้อใหม่
อย่างไร: การยืนยันของรูปแบบ Cup and Handle เกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุผ่านแนวต้านของ “ด้ามจับ” ขึ้นไป ซึ่งเป็นสัญญาณในการเข้าสู่สถานะ Long หรือเพิ่มสถานะที่มีอยู่
กฎและเคล็ดลับ:
- แนวโน้มก่อนหน้า: ต้องเป็นแนวโน้มขาขึ้นที่ชัดเจน
- ลักษณะของถ้วย: ควรมีลักษณะโค้งมนคล้ายตัว U ไม่ใช่ตัว V ที่แหลมคม ซึ่งบ่งบอกถึงการสะสมกำลังที่มั่นคง
- ความลึกของถ้วย: ไม่ควรลึกเกินไป โดยทั่วไปไม่ควรเกิน 1/3 หรือ 1/2 ของการเคลื่อนไหวของราคาที่นำไปสู่การก่อตัวของถ้วย
- ลักษณะของด้ามจับ: ควรเป็นรูปแบบธงหรือสามเหลี่ยมขนาดเล็กที่เอียงลงเล็กน้อย หรือเคลื่อนที่ในกรอบแคบๆ
- ปริมาณการซื้อขาย: ปริมาณการซื้อขายควรลดลงในช่วงที่ราคาทำก้นถ้วยและช่วงด้ามจับ และควรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเกิดการ Breakout
- การวัดเป้าหมายราคา: วัดระยะจากจุดต่ำสุดของถ้วยขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของขอบถ้วย แล้วนำระยะนั้นไปบวกจากจุด Breakout ของด้ามจับ
- รูปแบบ Inverse Cup and Handle: เป็นรูปแบบตรงกันข้ามที่บ่งชี้ถึงแนวโน้มขาลง
ผลลัพธ์เป็นอย่างไร: การ Breakout ที่สมบูรณ์ของ Cup and Handle มักจะนำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาที่แข็งแกร่งในทิศทางขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนที่สามารถระบุรูปแบบนี้ได้จะมีโอกาสในการทำกำไรจากการเข้าซื้อหลังจากราคาพักตัวและเตรียมพร้อมสำหรับการเคลื่อนไหวครั้งต่อไป
7. Three Drives Chart Pattern (รูปแบบแผนภูมิสามไดรฟ์)

คืออะไร: Three Drives Pattern เป็นรูปแบบการกลับตัว (Reversal Pattern) ที่ซับซ้อนกว่ารูปแบบอื่นๆ เล็กน้อย รูปแบบนี้ประกอบด้วยการเคลื่อนที่ของราคาหลักสามคลื่น (Three Impulsive Waves) และการปรับฐานสองคลื่น (Two Retracement Waves) ซึ่งบ่งชี้ถึงความพยายามสามครั้งของผู้เล่นรายใหญ่ที่จะผลักดันราคาให้ถึงหรือเข้าใกล้ระดับราคาสำคัญ ก่อนที่จะเกิดการกลับตัวของแนวโน้มอย่างรุนแรง
ทำไมถึงเกิด: รูปแบบนี้เป็นหนึ่งใน รูปแบบฮาร์โมนิก (Harmonic Patterns) ที่อิงกับหลักการของลำดับฟีโบนัชชี (Fibonacci Sequence) ซึ่งเชื่อว่าการเคลื่อนที่ของราคาในตลาดเป็นไปตามสัดส่วนทางธรรมชาติ การที่ราคาไม่สามารถทำจุดสูงสุด/ต่ำสุดใหม่ที่สามได้ หรือมีการ Retracement ที่สัมพันธ์กับระดับฟีโบนัชชีที่สำคัญ แสดงให้เห็นถึงความเหนื่อยล้าของแนวโน้มปัจจุบัน
ประเภทของรูปแบบ:
- Bullish Three Drive: บ่งชี้การกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น โดยราคาสร้างจุดต่ำสุดสามจุดที่ลดลง แต่มี Retracement ที่สัมพันธ์กัน
- Bearish Three Drive: บ่งชี้การกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลง โดยราคาสร้างจุดสูงสุดสามจุดที่เพิ่มขึ้น แต่มี Retracement ที่สัมพันธ์กัน
อย่างไร: การยืนยันของรูปแบบ Three Drives มักจะเกิดขึ้นเมื่อคลื่นที่สามเสร็จสมบูรณ์และราคามีปฏิกิริยาตามการคาดการณ์ของการกลับตัว โดยมักจะใช้เครื่องมือ Fibonacci ร่วมด้วย
กฎและเคล็ดลับ (ใช้หลัก Fibonacci):
- Drive 1: การเคลื่อนที่ของราคาคลื่นแรก
- Retracement 1 (A): การปรับฐานหลัง Drive 1 ควรอยู่ที่ระดับ 0.618 ของ Drive 1
- Drive 2: การเคลื่อนที่ของราคาคลื่นที่สอง ควรเป็น 1.272 ของ Retracement 1 (A) และมักจะยาวประมาณเท่ากับ Drive 1
- Retracement 2 (B): การปรับฐานหลัง Drive 2 ควรอยู่ที่ระดับ 0.618 ของ Drive 2
- Drive 3: การเคลื่อนที่ของราคาคลื่นที่สาม ควรเป็น 1.272 ของ Retracement 2 (B) และมักจะยาวประมาณเท่ากับ Drive 1 และ Drive 2
- การยืนยัน: เมื่อ Drive 3 เสร็จสมบูรณ์ คาดว่าจะมีการกลับตัวของแนวโน้ม การยืนยันอาจมาพร้อมกับสัญญาณ Candlestick Reversal Pattern หรือ อินดิเคเตอร์อื่นๆ
ผลลัพธ์เป็นอย่างไร: หากรูปแบบ Three Drives ก่อตัวอย่างสมบูรณ์และได้รับการยืนยัน มักจะนำไปสู่การกลับตัวของแนวโน้มที่ค่อนข้างรุนแรง นักลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญในการใช้ Fibonacci จะสามารถใช้รูปแบบนี้เพื่อระบุจุดกลับตัวที่สำคัญและเข้าทำกำไรได้
8. Pennant Chart Pattern (รูปแบบแผนภูมิชายธง)

คืออะไร: Pennant เป็นรูปแบบความต่อเนื่องของแนวโน้ม (Continuation Pattern) ที่บ่งชี้ว่าแนวโน้มก่อนหน้าจะยังคงดำเนินต่อไปหลังจากที่มีการพักตัวชั่วคราว รูปแบบนี้มีลักษณะคล้ายสามเหลี่ยมเล็กๆ ที่ถูกสร้างขึ้นหลังจากการเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงคล้าย “เสาธง” ซึ่งบ่งบอกถึงช่วงเวลาของการรวมตัว (Consolidation) หรือความไม่แน่นอนในตลาด ก่อนที่จะมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในทิศทางเดิม
ทำไมถึงเกิด: รูปแบบ Pennant เกิดขึ้นเมื่อราคาเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วและรุนแรงในทิศทางหนึ่ง (Pole) จากนั้นนักลงทุนบางส่วนจะเริ่มทำกำไรหรือมีแรงซื้อ/ขายที่ชะลอตัวลง ทำให้ราคาเข้าสู่ช่วงของการรวมตัวในกรอบที่แคบลงเรื่อยๆ (Pennant) ซึ่งคล้ายกับสามเหลี่ยมสมมาตรขนาดเล็ก ช่วงนี้แสดงถึงความลังเลใจของตลาด ก่อนที่แรงซื้อ/ขายเดิมจะกลับเข้ามาผลักดันราคาให้ไปในทิศทางเดียวกันกับแนวโน้มก่อนหน้า
ประเภทของรูปแบบ:
- Bullish Pennant: เกิดขึ้นในแนวโน้มขาขึ้น บ่งชี้ว่าราคาจะปรับตัวขึ้นต่อไป
- Bearish Pennant: เกิดขึ้นในแนวโน้มขาลง บ่งชี้ว่าราคาจะปรับตัวลงต่อไป
อย่างไร: การยืนยันของรูปแบบ Pennant เกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุผ่านกรอบสามเหลี่ยมของ Pennant ในทิศทางเดียวกับแนวโน้มก่อนหน้า การ Breakout ของ Pennant พร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นจะเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งในการเข้าสู่สถานะ Long หรือ Short
กฎและเคล็ดลับ:
- เสาธง (Pole): ต้องมีการเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงและชัดเจนก่อนที่จะเกิด Pennant
- รูปแบบสามเหลี่ยม: ตัว Pennant ควรมีลักษณะเป็นสามเหลี่ยมสมมาตรเล็กๆ ที่มีเส้นแนวโน้มบนและล่างมาบรรจบกัน
- ปริมาณการซื้อขาย: ปริมาณการซื้อขายควรสูงในช่วงที่ราคาขึ้นเป็น Pole ลดลงในช่วงที่เกิด Pennant และเพิ่มขึ้นอีกครั้งเมื่อเกิดการ Breakout
- ระยะเวลา: รูปแบบ Pennant มักจะก่อตัวในช่วงเวลาสั้นๆ โดยทั่วไปไม่เกิน 1-3 สัปดาห์ หากนานเกินไปอาจไม่ใช่ Pennant
- เป้าหมายราคา: วัดความยาวของ Pole แล้วนำระยะนั้นไปเพิ่ม/ลดจากจุด Breakout ของ Pennant
ผลลัพธ์เป็นอย่างไร: เมื่อ Pennant เกิดการ Breakout ที่ถูกต้อง มักจะนำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงในทิศทางเดิมของแนวโน้มก่อนหน้า ซึ่งนักลงทุนสามารถใช้เป็นโอกาสในการเข้าทำกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
9. Wedge Chart Pattern (รูปแบบแผนภูมิลิ่ม)

คืออะไร: Wedge เป็นรูปแบบแผนภูมิการกลับตัวของแนวโน้ม (Reversal Pattern) ที่มีลักษณะคล้ายลิ่ม โดยราคาจะเคลื่อนที่อยู่ภายในเส้นแนวโน้มสองเส้นที่มาบรรจบกัน ซึ่งแสดงถึงการบีบตัวของราคาและปริมาณการซื้อขายที่ลดลง บ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าของแนวโน้มปัจจุบันและเตรียมพร้อมสำหรับการกลับตัว
ทำไมถึงเกิด: รูปแบบ Wedge แสดงถึงช่วงเวลาที่ตลาดมีความผันผวนลดลงและนักลงทุนเริ่มลังเลใจ แรงซื้อและแรงขายเริ่มเท่าเทียมกันมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้การเคลื่อนไหวของราคาแคบลงจนคล้ายลิ่ม การที่ราคาไม่สามารถสร้างจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดที่แข็งแกร่งได้อีกต่อไป เป็นสัญญาณว่าแนวโน้มปัจจุบันกำลังจะสิ้นสุดลง
ประเภทของรูปแบบ:
- Falling Wedge Pattern (ลิ่มขาลง): เกิดขึ้นในแนวโน้มขาลง ราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำลง และจุดสูงสุดใหม่ที่ต่ำลง โดยเส้นแนวโน้มทั้งสองจะเอียงลงและมาบรรจบกัน บ่งชี้ถึงการกลับตัวเป็นขาขึ้น (Bullish Reversal)
- Rising Wedge Pattern (ลิ่มขาขึ้น): เกิดขึ้นในแนวโน้มขาขึ้น ราคาทำจุดสูงสุดใหม่ที่สูงขึ้น และจุดต่ำสุดใหม่ที่สูงขึ้น โดยเส้นแนวโน้มทั้งสองจะเอียงขึ้นและมาบรรจบกัน บ่งชี้ถึงการกลับตัวเป็นขาลง (Bearish Reversal)
อย่างไร: การยืนยันของรูปแบบ Wedge เกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุผ่านเส้นแนวโน้มของ Wedge ในทิศทางตรงกันข้ามกับทิศทางของ Wedge นั้นเอง
กฎและเคล็ดลับ:
- แนวโน้มก่อนหน้า: Falling Wedge ต้องมีแนวโน้มขาลงมาก่อน และ Rising Wedge ต้องมีแนวโน้มขาขึ้นมาก่อน
- เส้นแนวโน้ม: ต้องมีเส้นแนวโน้มสองเส้นมาบรรจบกัน โดยราคาจะเคลื่อนที่อยู่ภายใน
- คลื่นราคา: ควรมีคลื่นราคาอย่างน้อยสามคลื่นภายใน Wedge
- ปริมาณการซื้อขาย: ปริมาณการซื้อขายมักจะลดลงเมื่อราคาก่อตัวเป็น Wedge และเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเกิดการ Breakout
- การวัดเป้าหมายราคา: วัดระยะจากจุดเริ่มต้นของ Wedge ไปจนถึงส่วนที่กว้างที่สุดของ Wedge แล้วนำระยะนั้นไปเพิ่ม/ลดจากจุด Breakout
ผลลัพธ์เป็นอย่างไร: การ Breakout ของรูปแบบ Wedge มักจะนำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงและรวดเร็วในทิศทางตรงกันข้ามกับแนวโน้มก่อนหน้า ซึ่งนักลงทุนสามารถใช้เป็นโอกาสในการทำกำไรจากการกลับตัวของตลาดได้
10. Diamond Chart Pattern (รูปแบบแผนภูมิเพชร)

คืออะไร: Diamond Pattern เป็นรูปแบบแผนภูมิที่ค่อนข้างหายากแต่ทรงพลัง ซึ่งสามารถเป็นได้ทั้งรูปแบบการกลับตัว (Reversal Pattern) หรือรูปแบบความต่อเนื่อง (Continuation Pattern) ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ปรากฏบนกราฟ รูปแบบนี้มีลักษณะคล้ายเพชรหรือสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน เกิดจากการรวมกันของสองรูปแบบตลาด: การขยายตัว (Broadening Formation) และการบีบตัว (Contracting Formation)
ทำไมถึงเกิด: รูปแบบ Diamond แสดงถึงช่วงเวลาที่ตลาดมีความผันผวนสูงและไม่แน่นอนอย่างมากในช่วงแรก (ส่วนที่ขยายตัว) ตามมาด้วยการลดลงของความผันผวนและการรวมตัวของราคา (ส่วนที่บีบตัว) ซึ่งสะท้อนถึงความลังเลใจที่รุนแรงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย การก่อตัวของเพชรบ่งบอกว่าตลาดกำลังหาทิศทางใหม่หลังจากความไม่แน่นอนอย่างหนักหน่วง
ประเภทของรูปแบบ:
- Bullish Diamond Chart Pattern: เกิดที่จุดต่ำสุดของแนวโน้มขาลง บ่งชี้ถึงการกลับตัวเป็นขาขึ้น
- Bearish Diamond Chart Pattern: เกิดที่จุดสูงสุดของแนวโน้มขาขึ้น บ่งชี้ถึงการกลับตัวเป็นขาลง
- Continuation Diamond Pattern: เกิดขึ้นระหว่างแนวโน้ม บ่งชี้ว่าแนวโน้มเดิมจะดำเนินต่อไปหลังจากพักตัว
อย่างไร: การยืนยันของรูปแบบ Diamond เกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุผ่านเส้นแนวโน้มของเพชรในทิศทางที่คาดว่าจะเคลื่อนที่
กฎและเคล็ดลับ:
- โครงสร้าง: ราคาจะสร้างจุดสูงสุดที่สูงขึ้นและจุดต่ำสุดที่ต่ำลงในช่วงแรก (ขยายตัว) จากนั้นจะสร้างจุดสูงสุดที่ต่ำลงและจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นในช่วงหลัง (บีบตัว)
- ปริมาณการซื้อขาย: มักจะสูงในช่วงที่ราคาขยายตัว และลดลงในช่วงที่ราคาบีบตัว ก่อนที่จะพุ่งขึ้นอีกครั้งเมื่อเกิดการ Breakout
- ตำแหน่ง: หากเกิดที่ยอดของแนวโน้มขาขึ้น มักจะเป็นสัญญาณ Bearish Reversal หากเกิดที่ก้นของแนวโน้มขาลง มักจะเป็นสัญญาณ Bullish Reversal
- การวัดเป้าหมายราคา: วัดระยะจากส่วนที่กว้างที่สุดของเพชร แล้วนำระยะนั้นไปเพิ่ม/ลดจากจุด Breakout
ผลลัพธ์เป็นอย่างไร: เนื่องจากเป็นรูปแบบที่ค่อนข้างหายากและซับซ้อน การ Breakout จาก Diamond Pattern มักจะนำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงและมีนัยสำคัญ นักลงทุนควรใช้ความระมัดระวังและรอการยืนยันที่ชัดเจนก่อนทำการซื้อขาย
11. Descending Triangle Pattern (รูปแบบสามเหลี่ยมจากมากไปน้อย)

คืออะไร: Descending Triangle เป็นรูปแบบความต่อเนื่องของแนวโน้มขาลง (Bearish Continuation Pattern) หรือบางครั้งก็เป็นรูปแบบการกลับตัว (Reversal Pattern) รูปแบบนี้มีลักษณะเป็นสามเหลี่ยมที่มีฐานด้านล่างเป็นแนวรับในแนวนอน และมีเส้นแนวโน้มด้านบนที่เอียงลง บ่งบอกถึงแรงขายที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งกดดันให้ราคาเข้าใกล้แนวรับในแนวนอน และมีโอกาสสูงที่จะทะลุแนวรับนั้นลงไป
ทำไมถึงเกิด: รูปแบบนี้แสดงถึงช่วงเวลาที่ผู้ขายมีความพยายามมากขึ้นเรื่อยๆ ในการกดดันราคาลงมา ทำให้เกิดจุดสูงสุดใหม่ที่ต่ำลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ผู้ซื้อยังคงพยุงราคาไว้ที่ระดับแนวรับคงที่ การที่แรงขายชนะแรงซื้อซ้ำๆ และสร้างจุดสูงสุดที่ต่ำลง บ่งบอกว่าผู้ซื้อเริ่มอ่อนแอลง และแนวรับในแนวนอนมีโอกาสสูงที่จะถูกทะลุ
อย่างไร: การยืนยันของรูปแบบ Descending Triangle เกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุผ่านแนวรับในแนวนอนลงมาอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นสัญญาณในการเข้าสู่สถานะ Short หรือเพิ่มสถานะ Short ที่มีอยู่
กฎและเคล็ดลับ:
- โครงสร้าง: เส้นแนวรับด้านล่างเป็นแนวนอน และเส้นแนวโน้มด้านบนเอียงลง เชื่อมจุดสูงสุดที่ลดต่ำลง
- ปริมาณการซื้อขาย: ปริมาณการซื้อขายมักจะลดลงในขณะที่ราคาเคลื่อนที่อยู่ในสามเหลี่ยม และควรจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเกิดการ Breakout ลงมา
- แนวโน้มก่อนหน้า: ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในแนวโน้มขาลงเพื่อบ่งบอกถึงความต่อเนื่อง แต่ก็สามารถเป็นรูปแบบการกลับตัวได้หากเกิดในแนวโน้มขาขึ้น (ซึ่งพบได้น้อยกว่า)
- การวัดเป้าหมายราคา: วัดระยะจากจุดเริ่มต้นของสามเหลี่ยม (ส่วนที่กว้างที่สุด) ลงมาถึงแนวรับ แล้วนำระยะนั้นไปลบจากจุด Breakout ของแนวรับ
ผลลัพธ์เป็นอย่างไร: การ Breakout ที่สมบูรณ์ของ Descending Triangle มักจะนำไปสู่การลดลงของราคาอย่างรวดเร็วและรุนแรง ซึ่งนักลงทุนสามารถใช้เป็นโอกาสในการทำกำไรจากการ Short Sell ได้
12. Ascending Triangle Pattern (รูปแบบสามเหลี่ยมจากน้อยไปมาก)

คืออะไร: Ascending Triangle เป็นรูปแบบความต่อเนื่องของแนวโน้มขาขึ้น (Bullish Continuation Pattern) หรือบางครั้งก็เป็นรูปแบบการกลับตัว (Reversal Pattern) รูปแบบนี้มีลักษณะเป็นสามเหลี่ยมที่มีฐานด้านบนเป็นแนวต้านในแนวนอน และมีเส้นแนวโน้มด้านล่างที่เอียงขึ้น บ่งบอกถึงแรงซื้อที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งกดดันให้ราคาเข้าใกล้แนวต้านในแนวนอน และมีโอกาสสูงที่จะทะลุแนวต้านนั้นขึ้นไป
ทำไมถึงเกิด: รูปแบบนี้แสดงถึงช่วงเวลาที่ผู้ซื้อมีความพยายามมากขึ้นเรื่อยๆ ในการผลักดันราคาขึ้นไป ทำให้เกิดจุดต่ำสุดใหม่ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ผู้ขายยังคงกดราคาไว้ที่ระดับแนวต้านคงที่ การที่แรงซื้อชนะแรงขายซ้ำๆ และสร้างจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น บ่งบอกว่าผู้ขายเริ่มอ่อนแอลง และแนวต้านในแนวนอนมีโอกาสสูงที่จะถูกทะลุ
อย่างไร: การยืนยันของรูปแบบ Ascending Triangle เกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุผ่านแนวต้านในแนวนอนขึ้นไปอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นสัญญาณในการเข้าสู่สถานะ Long หรือเพิ่มสถานะ Long ที่มีอยู่
กฎและเคล็ดลับ:
- โครงสร้าง: เส้นแนวต้านด้านบนเป็นแนวนอน และเส้นแนวโน้มด้านล่างเอียงขึ้น เชื่อมจุดต่ำสุดที่ยกสูงขึ้น
- ปริมาณการซื้อขาย: ปริมาณการซื้อขายมักจะลดลงในขณะที่ราคาเคลื่อนที่อยู่ในสามเหลี่ยม และควรจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเกิดการ Breakout ขึ้นไป
- แนวโน้มก่อนหน้า: ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในแนวโน้มขาขึ้นเพื่อบ่งบอกถึงความต่อเนื่อง แต่ก็สามารถเป็นรูปแบบการกลับตัวได้หากเกิดในแนวโน้มขาลง (ซึ่งพบได้น้อยกว่า)
- การวัดเป้าหมายราคา: วัดระยะจากจุดเริ่มต้นของสามเหลี่ยม (ส่วนที่กว้างที่สุด) ขึ้นไปถึงแนวต้าน แล้วนำระยะนั้นไปเพิ่มจากจุด Breakout ของแนวต้าน
- เคล็ดลับ: คู่เงิน GBPJPY มักจะสร้างรูปแบบสามเหลี่ยมขึ้นและลงในกรอบเวลาต่างๆ กัน
ผลลัพธ์เป็นอย่างไร: การ Breakout ที่สมบูรณ์ของ Ascending Triangle มักจะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของราคาอย่างรวดเร็วและรุนแรง ซึ่งนักลงทุนสามารถใช้เป็นโอกาสในการทำกำไรจากการเข้าซื้อได้
13. Symmetrical Triangle Chart Pattern (รูปแบบแผนภูมิสามเหลี่ยมสมมาตร)

คืออะไร: Symmetrical Triangle เป็นรูปแบบแผนภูมิที่สามารถเป็นได้ทั้งรูปแบบการกลับตัว (Reversal Pattern) และรูปแบบความต่อเนื่อง (Continuation Pattern) โดยมีความน่าจะเป็นที่เท่ากันในการ Breakout ขึ้นหรือลง รูปแบบนี้มีลักษณะเป็นสามเหลี่ยมที่เกิดจากเส้นแนวโน้มสองเส้นที่มาบรรจบกัน โดยเส้นแนวโน้มด้านบนเอียงลง (เชื่อมจุดสูงสุดที่ต่ำลง) และเส้นแนวโน้มด้านล่างเอียงขึ้น (เชื่อมจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น) แสดงถึงความไม่แน่นอนของตลาดและความสมดุลของแรงซื้อและแรงขาย
ทำไมถึงเกิด: รูปแบบนี้สะท้อนถึงช่วงเวลาที่ผู้ซื้อและผู้ขายกำลังตัดสินใจหรือมีความลังเลใจอย่างมาก ทำให้ราคาเคลื่อนที่ในกรอบที่แคบลงเรื่อยๆ จุดสูงสุดที่ต่ำลงและจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นบ่งบอกถึงการบีบตัวของราคาและความผันผวนที่ลดลง จนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ และราคาจะ Breakout ในทิศทางนั้น
อย่างไร: การระบุทิศทางแนวโน้มโดยใช้ Symmetrical Triangle ทำได้โดยการสังเกตการ Breakout หากราคาทะลุเส้นแนวโน้มด้านบนขึ้นไป ผู้ซื้อจะเข้าควบคุมตลาด และแนวโน้มขาขึ้นจะดำเนินต่อไป แต่หากราคาทะลุเส้นแนวโน้มด้านล่างลงมา ผู้ขายจะเข้าควบคุมตลาด และแนวโน้มขาลงจะเกิดขึ้น
กฎและเคล็ดลับ:
- โครงสร้าง: เส้นแนวโน้มด้านบนเอียงลง และเส้นแนวโน้มด้านล่างเอียงขึ้น มาบรรจบกันเป็นยอดสามเหลี่ยม
- ปริมาณการซื้อขาย: ปริมาณการซื้อขายมักจะลดลงในขณะที่ราคาเคลื่อนที่อยู่ในสามเหลี่ยม และควรจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเกิดการ Breakout
- การยืนยัน: รอการ Breakout ที่ชัดเจนพร้อมกับ Volume ที่เพิ่มขึ้น การ Breakout แบบผิดพลาด (False Breakout) เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องระวัง
- การวัดเป้าหมายราคา: วัดระยะจากฐานของสามเหลี่ยม (ส่วนที่กว้างที่สุด) แล้วนำระยะนั้นไปเพิ่ม/ลดจากจุด Breakout
ผลลัพธ์เป็นอย่างไร: การ Breakout ที่สมบูรณ์ของ Symmetrical Triangle มักจะนำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงในทิศทางของการ Breakout ซึ่งนักลงทุนสามารถใช้เป็นโอกาสในการทำกำไรได้ แต่ต้องระวังการ Breakout หลอก
14. Flag Chart Pattern (รูปแบบแผนภูมิธง)

คืออะไร: Flag Pattern เป็นรูปแบบความต่อเนื่องของแนวโน้ม (Continuation Pattern) ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายและเป็นที่นิยม รูปแบบนี้ประกอบด้วย “เสาธง” (Flagpole) ซึ่งเป็นการเคลื่อนที่ของราคาที่รุนแรง ตามมาด้วย “ธง” (Flag) ซึ่งเป็นการพักตัวของราคาในกรอบคู่ขนานที่เอียงไปในทิศทางตรงกันข้ามกับ Pole เล็กน้อย บ่งบอกถึงการหยุดพักชั่วคราวของแนวโน้มก่อนที่จะดำเนินต่อไปในทิศทางเดิม
ทำไมถึงเกิด: รูปแบบ Flag เกิดขึ้นเมื่อราคาเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว (Flagpole) จากนั้นนักลงทุนบางส่วนจะทำกำไรหรือมีแรงต้านเล็กน้อย ทำให้ราคาเข้าสู่ช่วงของการรวมตัวในกรอบที่จำกัด (Flag) ช่วงนี้แสดงถึงการพักหายใจของตลาดก่อนที่แรงซื้อ/ขายเดิมจะกลับมาผลักดันราคาให้ไปในทิศทางเดียวกันกับแนวโน้มก่อนหน้าอีกครั้ง
ประเภทของรูปแบบ:
- Bullish Flag Pattern: เกิดขึ้นในแนวโน้มขาขึ้น โดยมี Flagpole ที่เป็นขาขึ้น และธงที่เอียงลง บ่งชี้ว่าราคาจะปรับตัวขึ้นต่อไป
- Bearish Flag Pattern: เกิดขึ้นในแนวโน้มขาลง โดยมี Flagpole ที่เป็นขาลง และธงที่เอียงขึ้น บ่งชี้ว่าราคาจะปรับตัวลงต่อไป
อย่างไร: การยืนยันของรูปแบบ Flag เกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุผ่านกรอบของธงในทิศทางเดียวกับ Flagpole การ Breakout ของธงพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นจะเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งในการเข้าสู่สถานะ Long หรือ Short
กฎและเคล็ดลับ:
- เสาธง (Flagpole): ต้องมีการเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงและชัดเจนก่อนที่จะเกิดธง
- ธง (Flag): ควรมีลักษณะเป็นกรอบคู่ขนานที่เอียงลงเล็กน้อย (ใน Bullish Flag) หรือเอียงขึ้นเล็กน้อย (ใน Bearish Flag)
- ปริมาณการซื้อขาย: ปริมาณการซื้อขายควรสูงในช่วงที่ราคาขึ้นเป็น Flagpole ลดลงในช่วงที่เกิด Flag และเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเกิดการ Breakout
- ระยะเวลา: รูปแบบ Flag มักจะก่อตัวในช่วงเวลาสั้นๆ โดยทั่วไปไม่เกิน 1-2 สัปดาห์
- เป้าหมายราคา: วัดความยาวของ Flagpole แล้วนำระยะนั้นไปเพิ่ม/ลดจากจุด Breakout ของ Flag
ผลลัพธ์เป็นอย่างไร: การ Breakout ที่สมบูรณ์ของ Flag Pattern มักจะนำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงในทิศทางเดิมของแนวโน้มก่อนหน้า ซึ่งนักลงทุนสามารถใช้เป็นโอกาสในการเข้าทำกำไรได้ดีในตลาดสกุลเงิน สินค้าโภคภัณฑ์ หรือสินทรัพย์อื่นๆ
15. Broadening Pattern / Megaphone Pattern (รูปแบบการขยาย / รูปแบบโทรโข่ง)

คืออะไร: Broadening Pattern หรือ Megaphone Pattern เป็นรูปแบบแผนภูมิที่ตรงกันข้ามกับรูปแบบสามเหลี่ยมตรงที่เส้นแนวโน้มสองเส้นจะแยกออกจากกันและขยายกว้างขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ทำให้โครงสร้างราคาคล้ายกับโทรโข่ง รูปแบบนี้บ่งชี้ถึงความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นในตลาดและความผันผวนที่สูงขึ้น ซึ่งมักจะนำไปสู่การกลับตัวของแนวโน้มครั้งใหญ่
ทำไมถึงเกิด: รูปแบบ Megaphone แสดงถึงช่วงเวลาที่นักลงทุนไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับทิศทางของตลาดอย่างชัดเจน ทำให้เกิดการแกว่งตัวของราคาที่กว้างขึ้นเรื่อยๆ จุดสูงสุดที่สูงขึ้นและจุดต่ำสุดที่ต่ำลง บ่งบอกถึงความตื่นตระหนก ความผันผวนที่รุนแรง และการขาดทิศทางที่ชัดเจน ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญของการกลับตัวของตลาด
ประเภทของรูปแบบ:
- รูปแบบ Megaphone (Symmetrical Broadening): เกิดขึ้นเมื่อเส้นแนวโน้มบนเอียงขึ้นและเส้นแนวโน้มล่างเอียงลง ทำให้ราคาแกว่งตัวกว้างขึ้นเรื่อยๆ
- Ascending Broadening Pattern: ราคาทำจุดต่ำสุดที่ต่ำลงและจุดสูงสุดที่ต่ำลง โดยมีเส้นแนวโน้มทั้งสองขยายออกไปด้านบน บ่งบอกถึงความอ่อนแอในแนวโน้มขาขึ้น
- Descending Broadening Pattern: ราคาทำจุดสูงสุดที่สูงขึ้นและจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น โดยมีเส้นแนวโน้มทั้งสองขยายออกไปด้านล่าง บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งในแนวโน้มขาลง
อย่างไร: การยืนยันของรูปแบบ Megaphone เกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุผ่านเส้นแนวโน้มบนหรือล่างออกไปอย่างชัดเจน การ Breakout นี้มักจะรุนแรงและนำไปสู่การกลับตัวของแนวโน้ม
กฎและเคล็ดลับ:
- โครงสร้าง: เส้นแนวโน้มสองเส้นแยกออกจากกัน จุดสูงสุดที่สูงขึ้นและจุดต่ำสุดที่ต่ำลง
- ปริมาณการซื้อขาย: มักจะไม่แน่นอนและผันผวนในขณะที่ราคาเคลื่อนที่อยู่ในรูปแบบ Megaphone
- สัญญาณกลับตัว: มักจะเป็นสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้มที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกิดขึ้นที่จุดสูงสุดหรือต่ำสุดของแนวโน้มหลัก
ผลลัพธ์เป็นอย่างไร: การ Breakout จาก Megaphone Pattern มักจะนำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงและมีทิศทางที่ชัดเจนหลังจากช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอน นักลงทุนควรใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในการซื้อขายรูปแบบนี้ เนื่องจากความผันผวนที่สูง
16. Bump and Run Chart Pattern (รูปแบบแผนภูมิ Bump and Run)

คืออะไร: Bump and Run Reversal Pattern เป็นรูปแบบการกลับตัวของแนวโน้มที่มักจะเกิดขึ้นหลังจากการเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงและยืดเยื้อ รูปแบบนี้ประกอบด้วยสองขั้นตอนหลัก: “Bump” (การพุ่งขึ้น/ลงอย่างรุนแรง) และ “Run” (การกลับตัวในทิศทางตรงกันข้าม)
ทำไมถึงเกิด: รูปแบบนี้เป็นกลยุทธ์ที่ผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Makers) หรือ Smart Money ใช้เพื่อหลอกล่อนักเทรดรายย่อย (Retail Traders) ในช่วง “Bump” ราคาจะพุ่งขึ้นหรือลงอย่างรุนแรงและรวดเร็ว เหนือหรือต่ำกว่าระดับราคาสำคัญ ทำให้เกิดการ Breakout ที่ดูเหมือนแข็งแกร่งและดึงดูดนักเทรดรายย่อยให้เข้ามาซื้อหรือขายตาม แต่เมื่อราคาไปถึงจุดสูงสุด/ต่ำสุดของ Bump แล้ว ราคาจะกลับตัวอย่างรวดเร็วและเคลื่อนที่ในทิศทางตรงกันข้ามในช่วง “Run” ซึ่งเป็นการทำลายความเชื่อมั่นของนักเทรดรายย่อยที่เข้ามาติดกับ
อย่างไร: การยืนยันของรูปแบบ Bump and Run เกิดขึ้นเมื่อราคาเริ่มกลับตัวจากจุดสูงสุด/ต่ำสุดของ Bump และ Breakout ทะลุเส้นแนวโน้มที่เคยเป็นแนวรับ/แนวต้านในช่วงก่อนหน้าของ Bump
กฎและเคล็ดลับ:
- ระยะ Lead-in: ก่อนที่จะเกิด Bump ราคาจะเคลื่อนที่ในแนวโน้มที่ค่อนข้างราบเรียบหรือมีมุมเอียงต่ำ
- ระยะ Bump: ราคาจะพุ่งขึ้น/ลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทำให้เกิดเส้นแนวโน้มที่มีมุมเอียงสูงชันผิดปกติ
- ระยะ Run: หลังจากการพุ่งขึ้น/ลงอย่างรุนแรง ราคาจะกลับตัวในทิศทางตรงกันข้ามและเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ
- การยืนยัน: การ Breakout ของเส้นแนวโน้มที่เคยเป็นแนวรับ/แนวต้านในช่วง Bump จะเป็นสัญญาณการกลับตัวที่ชัดเจน
- เป้าหมายราคา: วัดระยะจากจุดเริ่มต้นของ Bump ถึงจุดสูงสุด/ต่ำสุดของ Bump แล้วนำระยะนั้นไปเพิ่ม/ลดจากจุด Breakout ของเส้นแนวโน้ม
ผลลัพธ์เป็นอย่างไร: รูปแบบ Bump and Run มักจะนำไปสู่การกลับตัวของแนวโน้มที่รุนแรงและยาวนาน นักลงทุนควรระมัดระวังเมื่อเห็นราคาพุ่งขึ้น/ลงอย่างผิดปกติ และควรพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่รูปแบบนี้จะก่อตัวขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการติดกับและมองหาโอกาสในการทำกำไรจากการกลับตัว
17. Horizontal Trend Channels (ช่องแนวโน้มแนวนอน)

คืออะไร: Horizontal Trend Channels หรือที่เรียกว่า “ตลาด Sideways” หรือ “กรอบการซื้อขาย” (Trading Range) เป็นรูปแบบแผนภูมิความต่อเนื่องที่ราคาเคลื่อนที่อยู่ในกรอบแนวนอนระหว่างแนวรับ (Support) และแนวต้าน (Resistance) ที่ค่อนข้างคงที่ รูปแบบนี้บ่งชี้ถึงความสมดุลระหว่างแรงซื้อและแรงขายในตลาด
ทำไมถึงเกิด: รูปแบบนี้เกิดขึ้นเมื่อทั้งผู้ซื้อและผู้ขายไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถผลักดันราคาให้ Breakout ออกไปจากกรอบราคาที่กำหนดไว้ได้ ทำให้ราคาแกว่งตัวขึ้นลงภายในขอบเขตของแนวรับและแนวต้าน การเคลื่อนที่ Sideways นี้บ่งบอกถึงช่วงเวลาของการรวมตัว (Consolidation) หรือการสะสม/กระจาย (Accumulation/Distribution) ก่อนที่จะมีทิศทางที่ชัดเจนในอนาคต
อย่างไร: การระบุทิศทางของแนวโน้มที่ตามมาของ Horizontal Trend Channel เกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุผ่านแนวรับหรือแนวต้านของช่องสัญญาณ
- หากราคาทะลุแนวรับลงมา: บ่งชี้ถึงแนวโน้มขาลงที่กำลังจะเกิดขึ้น
- หากราคาทะลุแนวต้านขึ้นไป: บ่งชี้ถึงแนวโน้มขาขึ้นที่กำลังจะเกิดขึ้น
กฎและเคล็ดลับ:
- โครงสร้าง: ลากเส้นแนวรับและแนวต้านที่ขนานกันในแนวนอน โดยราคาจะเคลื่อนที่อยู่ภายใน
- การยืนยัน: รอการ Breakout ที่ชัดเจนพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น การ Breakout แบบผิดพลาด (False Breakout) เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องระวัง
- กลยุทธ์การเทรด:
- เทรดในกรอบ: สามารถซื้อที่แนวรับและขายที่แนวต้านได้
- เทรด Breakout: รอจนกว่าราคาจะ Breakout ออกจากกรอบและเข้าตามทิศทางนั้น
- เป้าหมายราคา: วัดความกว้างของช่องสัญญาณ แล้วนำระยะนั้นไปเพิ่ม/ลดจากจุด Breakout
ผลลัพธ์เป็นอย่างไร: การ Breakout ที่สมบูรณ์จาก Horizontal Trend Channel มักจะนำไปสู่การเคลื่อนที่ของราคาที่รุนแรงในทิศทางของการ Breakout ซึ่งนักลงทุนสามารถใช้เป็นโอกาสในการทำกำไรได้ แต่ควรระมัดระวังการ Breakout หลอก
18. Descending Channel Pattern (รูปแบบช่องจากมากไปน้อย)

คืออะไร: Descending Channel หรือที่เรียกว่า “ช่องแนวโน้มขาลง” เป็นรูปแบบการกลับตัวของแนวโน้มขาขึ้น (Bullish Reversal Pattern) หรือบางครั้งก็เป็นความต่อเนื่องของแนวโน้มขาลง รูปแบบนี้มีลักษณะเป็นราคาที่เคลื่อนที่อยู่ภายในเส้นแนวโน้มคู่ขนานสองเส้นที่เอียงลง บ่งบอกถึงแรงขายที่ยังคงควบคุมตลาด แต่เมื่อราคา Breakout ทะลุเส้นแนวโน้มด้านบนขึ้นไป มักจะเป็นสัญญาณของการกลับตัวเป็นขาขึ้น
ทำไมถึงเกิด: ในรูปแบบนี้ ราคาจะสร้างจุดต่ำสุดที่ต่ำลงและจุดสูงสุดที่ต่ำลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นลักษณะของแนวโน้มขาลง แต่เมื่อราคามีการ Breakout ทะลุเส้นแนวโน้มด้านบน แสดงว่าแรงซื้อเริ่มแข็งแกร่งขึ้นและสามารถเอาชนะแรงขายได้ ซึ่งมักจะนำไปสู่การกลับตัวของแนวโน้ม
อย่างไร: การยืนยันของรูปแบบ Descending Channel เกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุผ่านเส้นแนวโน้มด้านบนของช่องสัญญาณขึ้นไปอย่างชัดเจน พร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น นี่คือสัญญาณในการเข้าสู่สถานะ Long
กฎและเคล็ดลับ:
- โครงสร้าง: เส้นแนวโน้มบน (แนวต้าน) และเส้นแนวโน้มล่าง (แนวรับ) ที่ขนานกันและเอียงลง โดยราคาจะเคลื่อนที่อยู่ภายใน
- จุดสูงสุด/ต่ำสุด: ราคาทำจุดต่ำสุดที่ต่ำลงและจุดสูงสุดที่ต่ำลง
- การยืนยัน: การ Breakout ของเส้นแนวโน้มด้านบนด้วย แท่งเทียน ขาขึ้นขนาดใหญ่จะเพิ่มความน่าเชื่อถือ
- ไม่สับสนกับ Falling Wedge: ใน Descending Channel เส้นแนวโน้มจะขนานกัน แต่ใน Falling Wedge เส้นแนวโน้มจะมาบรรจบกัน
- เป้าหมายราคา: วัดความกว้างของช่องสัญญาณ แล้วนำระยะนั้นไปเพิ่มจากจุด Breakout ของเส้นแนวโน้มด้านบน
ผลลัพธ์เป็นอย่างไร: การ Breakout ที่สมบูรณ์ของ Descending Channel มักจะนำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงในทิศทางขาขึ้น นักลงทุนสามารถใช้รูปแบบนี้เพื่อระบุจุดกลับตัวและเข้าทำกำไรได้
19. Ascending Channel Pattern (รูปแบบช่องจากน้อยไปมาก)

คืออะไร: Ascending Channel หรือที่เรียกว่า “ช่องแนวโน้มขาขึ้น” เป็นรูปแบบการกลับตัวของแนวโน้มขาลง (Bearish Reversal Pattern) หรือบางครั้งก็เป็นความต่อเนื่องของแนวโน้มขาขึ้น รูปแบบนี้มีลักษณะเป็นราคาที่เคลื่อนที่อยู่ภายในเส้นแนวโน้มคู่ขนานสองเส้นที่เอียงขึ้น บ่งบอกถึงแรงซื้อที่ยังคงควบคุมตลาด แต่เมื่อราคา Breakout ทะลุเส้นแนวโน้มด้านล่างลงมา มักจะเป็นสัญญาณของการกลับตัวเป็นขาลง
ทำไมถึงเกิด: ในรูปแบบนี้ ราคาจะสร้างจุดสูงสุดที่สูงขึ้นและจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นลักษณะของแนวโน้มขาขึ้น แต่เมื่อราคามีการ Breakout ทะลุเส้นแนวโน้มด้านล่าง แสดงว่าแรงขายเริ่มแข็งแกร่งขึ้นและสามารถเอาชนะแรงซื้อได้ ซึ่งมักจะนำไปสู่การกลับตัวของแนวโน้ม
อย่างไร: การยืนยันของรูปแบบ Ascending Channel เกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุผ่านเส้นแนวโน้มด้านล่างของช่องสัญญาณลงมาอย่างชัดเจน พร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น นี่คือสัญญาณในการเข้าสู่สถานะ Short
กฎและเคล็ดลับ:
- โครงสร้าง: เส้นแนวโน้มบน (แนวต้าน) และเส้นแนวโน้มล่าง (แนวรับ) ที่ขนานกันและเอียงขึ้น โดยราคาจะเคลื่อนที่อยู่ภายใน
- จุดสูงสุด/ต่ำสุด: ราคาทำจุดสูงสุดที่สูงขึ้นและจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น
- การยืนยัน: การ Breakout ของเส้นแนวโน้มด้านล่างด้วยแท่งเทียนขาลงขนาดใหญ่จะเพิ่มความน่าเชื่อถือ
- เป้าหมายราคา: วัดความกว้างของช่องสัญญาณ แล้วนำระยะนั้นไปลบจากจุด Breakout ของเส้นแนวโน้มด้านล่าง
ผลลัพธ์เป็นอย่างไร: การ Breakout ที่สมบูรณ์ของ Ascending Channel มักจะนำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงในทิศทางขาลง นักลงทุนสามารถใช้รูปแบบนี้เพื่อระบุจุดกลับตัวและเข้าทำกำไรได้
FAQ Section: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับรูปแบบแผนภูมิ
Q1: รูปแบบแผนภูมิคืออะไร และมีความสำคัญอย่างไรต่อการเทรด?
A1: รูปแบบแผนภูมิ (Chart Patterns) คือการก่อตัวของราคาบนกราฟที่แสดงรูปร่างเฉพาะ ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของจิตวิทยาตลาดระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย รูปแบบเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อนักเทรดเนื่องจากเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ช่วยในการคาดการณ์ทิศทางราคาในอนาคต ทำให้สามารถกำหนดจุดเข้าซื้อ/ขาย จุดตัดขาดทุน (Stop Loss) และจุดทำกำไร (Take Profit) ได้อย่างมีหลักการ ช่วยเพิ่มความน่าจะเป็นในการเทรดที่ประสบความสำเร็จ
Q2: รูปแบบการกลับตัว (Reversal Patterns) และรูปแบบความต่อเนื่อง (Continuation Patterns) แตกต่างกันอย่างไร?
A2: ความแตกต่างหลักอยู่ที่ผลกระทบต่อแนวโน้มราคาปัจจุบัน:
- รูปแบบการกลับตัว (Reversal Patterns): บ่งชี้ว่าแนวโน้มปัจจุบันกำลังจะสิ้นสุดลงและเปลี่ยนทิศทางไปในทางตรงกันข้าม เช่น Head and Shoulders, Double Top/Bottom
- รูปแบบความต่อเนื่อง (Continuation Patterns): บ่งชี้ว่าแนวโน้มปัจจุบันจะยังคงดำเนินต่อไปหลังจากที่มีการพักตัวหรือรวมฐานชั่วคราว เช่น Flag, Pennant, Triangle ส่วนใหญ่
การเข้าใจความแตกต่างนี้เป็นสิ่งสำคัญในการเลือกกลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของตลาด
Q3: ควรใช้ปริมาณการซื้อขาย (Volume) ในการยืนยันรูปแบบแผนภูมิหรือไม่?
A3: ใช่ ควรอย่างยิ่ง! ปริมาณการซื้อขายเป็นเครื่องมือยืนยันที่สำคัญมากสำหรับรูปแบบแผนภูมิส่วนใหญ่ โดยทั่วไปแล้ว:
- ในช่วงการก่อตัวของรูปแบบ (โดยเฉพาะรูปแบบการรวมตัว) ปริมาณการซื้อขายมักจะลดลง
- เมื่อเกิดการ Breakout ทะลุแนวรับหรือแนวต้าน ปริมาณการซื้อขายควรจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อยืนยันความแข็งแกร่งของการ Breakout นั้น
หากมีการ Breakout โดยที่ปริมาณการซื้อขายไม่เพิ่มขึ้น อาจเป็นสัญญาณของ False Breakout (Breakout หลอก) ซึ่งมีความเสี่ยงสูง
Q4: รูปแบบแผนภูมิสามารถเกิดขึ้นใน Timeframe ใดได้บ้าง?
A4: รูปแบบแผนภูมิสามารถเกิดขึ้นได้ในทุก Timeframe ตั้งแต่ Timeframe สั้นๆ เช่น 1 นาที (M1), 5 นาที (M5) ไปจนถึง Timeframe ที่ยาวขึ้น เช่น รายวัน (Daily), รายสัปดาห์ (Weekly) หรือรายเดือน (Monthly) อย่างไรก็ตาม รูปแบบที่เกิดขึ้นใน Timeframe ที่ยาวขึ้นมักจะมีความน่าเชื่อถือและมีนัยสำคัญมากกว่า เนื่องจากสะท้อนภาพรวมของตลาดที่ใหญ่กว่า และมีสัญญาณรบกวน (Noise) น้อยกว่า Timeframe สั้นๆ นักเทรดควรพิจารณา การวิเคราะห์แบบ Multi-Timeframe เพื่อยืนยันสัญญาณจากรูปแบบต่างๆ
Q5: มีข้อควรระวังอะไรบ้างในการใช้รูปแบบแผนภูมิเพื่อการเทรด?
A5: การใช้รูปแบบแผนภูมิมีข้อควรระวังหลายประการ:
- False Breakout: การ Breakout หลอกเป็นสิ่งที่พบได้บ่อย นักเทรดควรรอการยืนยันที่ชัดเจน หรือใช้เครื่องมืออื่นร่วมด้วย เช่น Volume, Indicators หรือ Candlestick Patterns
- ความแม่นยำ: ไม่มีรูปแบบใดที่แม่นยำ 100% การจัดการความเสี่ยง (Risk Management) และการใช้ Stop Loss เป็นสิ่งจำเป็น
- บริบทของตลาด: พิจารณาสถานการณ์ของตลาดโดยรวม (เช่น แนวโน้มหลัก, ข่าวเศรษฐกิจ) ไม่ใช่แค่รูปแบบแผนภูมิเพียงอย่างเดียว
- Backtesting: ควรทดสอบย้อนหลัง (Backtest) รูปแบบที่คุณสนใจบนสินทรัพย์และ Timeframe ที่คุณเทรด เพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมและความน่าจะเป็นของรูปแบบนั้นๆ
Conclusion: สรุปและแนวทางการนำไปใช้
การทำความเข้าใจและสามารถระบุรูปแบบแผนภูมิทั้ง 19 รูปแบบที่เราได้กล่าวถึงในบทความนี้ ถือเป็นหัวใจสำคัญของการเป็นนักวิเคราะห์และนักเทรดที่มีประสิทธิภาพ รูปแบบเหล่านี้เป็นมากกว่าเพียงแค่รูปร่างบนกราฟ แต่เป็นการสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิทยาของตลาดที่เกิดขึ้นซ้ำๆ มานาน ซึ่งเป็นข้อมูลอันล้ำค่าที่ช่วยให้คุณสามารถคาดการณ์ทิศทางของราคาได้แม่นยำยิ่งขึ้น
สิ่งสำคัญที่ควรจดจำ:
- การยืนยัน: อย่ารีบเข้าสู่การซื้อขายทันทีที่เห็นรูปแบบ แต่ควรรอการยืนยันการ Breakout ที่ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น
- การบริหารความเสี่ยง: ทุกการเทรดมีความเสี่ยง การตั้ง Stop Loss และการจัดการขนาดการลงทุน (Lot Size) อย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
- ใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น: รูปแบบแผนภูมิจะทรงพลังยิ่งขึ้นเมื่อใช้ร่วมกับ เครื่องมือทางเทคนิคอื่นๆ เช่น อินดิเคเตอร์, แนวรับ-แนวต้าน, และ รูปแบบแท่งเทียน
- การฝึกฝน: การเรียนรู้เป็นสิ่งหนึ่ง แต่การนำไปใช้จริงต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอใน บัญชีทดลอง (Demo Account) เพื่อสร้างความคุ้นเคยและความมั่นใจ
เราขอแนะนำอย่างยิ่งให้คุณนำความรู้เกี่ยวกับรูปแบบแผนภูมิเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ในกลยุทธ์การซื้อขายของคุณ การผสมผสานรูปแบบแผนภูมิเข้ากับ ระบบเทรดอัตโนมัติ (EA) หรือการวิเคราะห์ด้วยตนเอง จะช่วยเพิ่มโอกาสในการชนะและทำกำไรในตลาดได้อย่างยั่งยืน
https://bit.ly/GMI-TH


