TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
สอนเทรดมือใหม่

10 รูปแบบกราฟที่เทรดเดอร์ทุกคนต้องรู้

มิถุนายน 20, 2022

เจาะลึก 10 รูปแบบกราฟที่เทรดเดอร์มืออาชีพต้องรู้: คู่มือวิเคราะห์ทางเทคนิคฉบับสมบูรณ์

ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค รูปแบบกราฟ (Chart Patterns) ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถคาดการณ์ทิศทางราคาของสินทรัพย์ในตลาดได้อย่างมีนัยสำคัญ การทำความเข้าใจและตีความรูปแบบเหล่านี้ได้อย่างเชี่ยวชาญ ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไร แต่ยังช่วยให้คุณสามารถบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้จะเจาะลึก 10 รูปแบบกราฟที่เทรดเดอร์ทุกคนต้องรู้จัก พร้อมอธิบายหลักการ วิธีการระบุ และกลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสมสำหรับแต่ละรูปแบบ เพื่อยกระดับความรู้และทักษะการเทรดของคุณให้ก้าวไปอีกขั้น

ความสำคัญของรูปแบบกราฟในการเทรด

รูปแบบกราฟเป็นเสมือนภาษาของตลาดที่สะท้อนถึงจิตวิทยาและพฤติกรรมของผู้เล่นในตลาดในช่วงเวลาต่างๆ การทำความเข้าใจรูปแบบเหล่านี้จึงเป็นกุญแจสำคัญในการตัดสินใจซื้อขาย การระบุจุดเข้า (Entry Point) จุดออก (Exit Point) รวมถึงการตั้งค่าจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) และจุดทำกำไร (Take Profit) ได้อย่างมีหลักการ ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถดำเนินการซื้อขายด้วยความมั่นใจและลดความเสี่ยงจากการคาดเดาอย่างไร้ทิศทาง

หลักการพื้นฐานของรูปแบบกราฟ

  • การเคลื่อนไหวของราคา: รูปแบบกราฟเกิดจากการเคลื่อนไหวของราคาที่ซ้ำๆ กัน ซึ่งมักจะสะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างอุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply)
  • แนวรับและแนวต้าน: เส้นแนวรับ (Support) และเส้นแนวต้าน (Resistance) เป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างรูปแบบกราฟ โดยเป็นจุดที่ราคามักจะหยุดหรือกลับตัว
  • ปริมาณการซื้อขาย (Volume): ปริมาณการซื้อขายมักจะช่วยยืนยันความแข็งแกร่งของรูปแบบ ยิ่งมี Volume มากเท่าไหร่ ความน่าเชื่อถือของรูปแบบก็จะยิ่งสูงขึ้น

10 รูปแบบกราฟที่เทรดเดอร์ทุกคนต้องรู้

1. Head and Shoulders (หัวและไหล่)

รูปแบบ Head and Shoulders เป็นหนึ่งในรูปแบบการกลับตัว (Reversal Pattern) ที่มีความน่าเชื่อถือสูง บ่งชี้ถึงการสิ้นสุดของแนวโน้มขาขึ้นและมีโอกาสที่จะกลับตัวเป็นขาลง ลักษณะของรูปแบบประกอบด้วย 3 ยอด:

  • ไหล่ซ้าย (Left Shoulder): ราคาสร้างจุดสูงสุดใหม่และย่อตัวลงมายังเส้นแนวรับ (Neckline)
  • หัว (Head): ราคาทะลุขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดที่สูงกว่าไหล่ซ้าย แล้วย่อตัวลงมายังเส้น Neckline เดียวกัน
  • ไหล่ขวา (Right Shoulder): ราคาสร้างจุดสูงสุดอีกครั้ง แต่ต่ำกว่าจุดสูงสุดของหัว แล้วย่อตัวลงมายังเส้น Neckline

เมื่อราคาทะลุเส้น Neckline ลงมาหลังจากสร้างไหล่ขวา ถือเป็นการยืนยันการกลับตัวเป็นขาลง เทรดเดอร์มักจะเปิดสถานะ Short (ขาย) เมื่อราคา Breakout เส้น Neckline และกำหนดเป้าหมายทำกำไรโดยวัดระยะจากยอด Head ลงมาถึง Neckline

2. Double Top (ดับเบิ้ลท็อป)

รูปแบบ Double Top เป็นรูปแบบการกลับตัวจากแนวโน้มขาขึ้นเป็นขาลงที่พบเห็นได้บ่อย บ่งชี้ว่าผู้ซื้อเริ่มหมดแรงและผู้ขายเริ่มเข้ามามีอิทธิพลในตลาด ลักษณะเด่นคือ:

  • ยอดที่ 1: ราคาวิ่งขึ้นไปทำจุดสูงสุด แล้วย่อตัวลงมาที่ระดับแนวรับ
  • ยอดที่ 2: ราคาวิ่งกลับขึ้นไปทำจุดสูงสุดอีกครั้งใกล้เคียงกับยอดแรก แล้วย่อตัวลงมาที่ระดับแนวรับเดิม

เมื่อราคาทะลุแนวรับ (ซึ่งทำหน้าที่เป็น Neckline) ลงไปอย่างชัดเจน จะเป็นการยืนยันรูปแบบ Double Top และมีโอกาสสูงที่ราคาจะปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง เทรดเดอร์จะพิจารณาเปิดสถานะ Short เมื่อราคา Breakout แนวรับ

3. Double Bottom (ดับเบิ้ลบอททอม)

ตรงข้ามกับ Double Top รูปแบบ Double Bottom เป็นรูปแบบการกลับตัวจากแนวโน้มขาลงเป็นขาขึ้น (Bullish Reversal Pattern) บ่งชี้ว่าผู้ขายเริ่มอ่อนแรงและผู้ซื้อเริ่มเข้ามาควบคุมตลาด ลักษณะเด่นคือ:

  • ฐานที่ 1: ราคาวิ่งลงไปทำจุดต่ำสุด แล้วดีดตัวขึ้นมาที่ระดับแนวต้าน
  • ฐานที่ 2: ราคาวิ่งกลับลงไปทำจุดต่ำสุดอีกครั้งใกล้เคียงกับฐานแรก แล้วดีดตัวขึ้นมาที่ระดับแนวต้านเดิม

เมื่อราคาทะลุแนวต้าน (ซึ่งทำหน้าที่เป็น Neckline) ขึ้นไปอย่างชัดเจน จะเป็นการยืนยันรูปแบบ Double Bottom และมีโอกาสสูงที่ราคาจะปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง เทรดเดอร์จะพิจารณาเปิดสถานะ Long (ซื้อ) เมื่อราคา Breakout แนวต้าน

4. Rounding Bottom (ก้นกลม)

รูปแบบ Rounding Bottom เป็นรูปแบบการกลับตัวที่บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงจากแนวโน้มขาลงเป็นขาขึ้นอย่างช้าๆ และค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนรูปแบบอื่นๆ ก้นกลมมีลักษณะคล้ายตัว “U” หรือถ้วยที่หงายขึ้น:

  • ช่วงแรก (ขาลง): ราคาทดสอบจุดต่ำสุดอย่างต่อเนื่อง สร้างเป็นส่วนโค้งลง
  • จุดต่ำสุด: ราคาเคลื่อนที่ในแนวราบเป็นช่วงสั้นๆ หรือมีการแกว่งตัวเล็กน้อย
  • ช่วงหลัง (ขาขึ้น): ราคาค่อยๆ ปรับตัวขึ้น สร้างเป็นส่วนโค้งขึ้น

รูปแบบนี้มักใช้เวลาในการก่อตัวนานกว่ารูปแบบอื่นๆ และบ่งชี้ถึงการสะสมกำลังซื้อที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น เมื่อราคาทะลุแนวต้านที่จุดเริ่มต้นของรูปแบบ ถือเป็นการยืนยันการกลับตัวเป็นขาขึ้นอย่างสมบูรณ์

5. Cup and Handle (ถ้วยและที่จับ)

รูปแบบ Cup and Handle เป็นรูปแบบต่อเนื่อง (Continuation Pattern) ของแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง บ่งชี้ว่าหลังจากราคาปรับตัวขึ้น จะมีการพักฐานเล็กน้อยก่อนที่จะขึ้นต่อ ลักษณะคล้ายถ้วยที่มีหูจับ:

  • ส่วนของถ้วย (Cup): ราคาย่อตัวลงมาเป็นรูปทรงโค้งคล้ายตัว U (คล้าย Rounding Bottom) แล้วดีดตัวกลับขึ้นไปสู่จุดเริ่มต้นของถ้วย
  • ส่วนของที่จับ (Handle): หลังจากราคากลับขึ้นไปถึงขอบถ้วย จะมีการพักฐานเล็กน้อยในกรอบแคบๆ คล้ายรูปสามเหลี่ยมหรือธง (Pennant) ซึ่งเป็นส่วนของ “ที่จับ”

เมื่อราคาทะลุแนวต้านของส่วนที่จับขึ้นไป จะเป็นการยืนยันการดำเนินต่อของแนวโน้มขาขึ้น เทรดเดอร์มักจะเข้าซื้อเมื่อ Breakout ส่วน Handle โดยมีเป้าหมายทำกำไรเท่ากับความลึกของถ้วย

6. Wedges (เวดจ์)

รูปแบบ Wedge (ลิ่ม) เป็นรูปแบบการกลับตัวที่เกิดจากการบีบอัดของราคาในกรอบเส้นแนวโน้มสองเส้นที่ลาดเอียงเข้าหากัน แบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก:

6.1 Rising Wedge (ลิ่มขาขึ้น)

  • ลักษณะ: เกิดขึ้นเมื่อราคาสร้างจุดสูงสุดใหม่ที่สูงขึ้น และจุดต่ำสุดใหม่ที่สูงขึ้นเช่นกัน แต่เส้นแนวรับจะชันกว่าเส้นแนวต้าน ทำให้ราคาถูกบีบอัดเข้าสู่ยอดแหลม
  • การตีความ: บ่งชี้ถึงแนวโน้มขาขึ้นที่อ่อนแอลง และมักจะจบลงด้วยการกลับตัวเป็นขาลง (Bearish Reversal) เมื่อราคา Breakout ทะลุเส้นแนวรับลงมา

6.2 Falling Wedge (ลิ่มขาลง)

  • ลักษณะ: เกิดขึ้นเมื่อราคาสร้างจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำลง และจุดสูงสุดใหม่ที่ต่ำลงเช่นกัน แต่เส้นแนวต้านจะชันกว่าเส้นแนวรับ ทำให้ราคาถูกบีบอัดเข้าสู่ยอดแหลม
  • การตีความ: บ่งชี้ถึงแนวโน้มขาลงที่อ่อนแอลง และมักจะจบลงด้วยการกลับตัวเป็นขาขึ้น (Bullish Reversal) เมื่อราคา Breakout ทะลุเส้นแนวต้านขึ้นไป

7. Pennant or Flags (ธงหรือธงสามเหลี่ยม)

รูปแบบ Pennant (ชายธง) และ Flag (ธง) เป็นรูปแบบต่อเนื่องของแนวโน้มที่เกิดขึ้นหลังจากราคาเคลื่อนที่อย่างรุนแรง (Pole) แล้วมีการพักตัวในกรอบแคบๆ ก่อนที่จะเคลื่อนที่ต่อไปในทิศทางเดิม:

  • Pole (เสาธง): การเคลื่อนที่ของราคาที่รุนแรงในแนวโน้มหลัก
  • Flag/Pennant: การพักตัวของราคาในกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้า (Flag) หรือสามเหลี่ยมเล็กๆ (Pennant) โดยมีเส้นแนวโน้มสองเส้นมาบรรจบกัน

รูปแบบเหล่านี้บ่งชี้ถึงการรวบรวมกำลังซื้อหรือกำลังขาย ก่อนที่จะ Breakout ไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มเดิมอย่างรุนแรงอีกครั้ง การระบุรูปแบบนี้ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเข้าร่วมในแนวโน้มที่แข็งแกร่งได้

8. Ascending Triangle (สามเหลี่ยมขาขึ้น)

รูปแบบ Ascending Triangle เป็นรูปแบบต่อเนื่องของแนวโน้มขาขึ้น บ่งบอกถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่งและมีแนวโน้มที่จะ Breakout ทะลุแนวต้านขึ้นไป ลักษณะประกอบด้วย:

  • เส้นแนวต้านแนวนอน: เกิดจากจุดสูงสุดที่เท่ากันหรือใกล้เคียงกันหลายจุด
  • เส้นแนวรับที่ยกตัวสูงขึ้น: เกิดจากจุดต่ำสุดที่ยกตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ

เส้นแนวรับที่ยกตัวสูงขึ้นแสดงถึงแรงซื้อที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เส้นแนวต้านแนวนอนแสดงถึงระดับราคาที่มีแรงขายอยู่ เมื่อราคา Breakout ทะลุเส้นแนวต้านแนวนอนขึ้นไป มักจะมีการเคลื่อนไหวที่รุนแรงในทิศทางขาขึ้น

9. Descending Triangle (สามเหลี่ยมขาลง)

ตรงข้ามกับ Ascending Triangle รูปแบบ Descending Triangle เป็นรูปแบบต่อเนื่องของแนวโน้มขาลง บ่งบอกถึงแรงขายที่แข็งแกร่งและมีแนวโน้มที่จะ Breakout ทะลุแนวรับลงไป ลักษณะประกอบด้วย:

  • เส้นแนวรับแนวนอน: เกิดจากจุดต่ำสุดที่เท่ากันหรือใกล้เคียงกันหลายจุด
  • เส้นแนวต้านที่ลดต่ำลง: เกิดจากจุดสูงสุดที่ลดต่ำลงเรื่อยๆ

เส้นแนวต้านที่ลดต่ำลงแสดงถึงแรงขายที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เส้นแนวรับแนวนอนแสดงถึงระดับราคาที่มีแรงซื้อคอยพยุงอยู่ เมื่อราคา Breakout ทะลุเส้นแนวรับแนวนอนลงไป มักจะมีการเคลื่อนไหวที่รุนแรงในทิศทางขาลง เทรดเดอร์อาจพิจารณาเปิดสถานะ Short เพื่อทำกำไรจากตลาดขาลง

10. Symmetrical Triangle (สามเหลี่ยมสมมาตร)

รูปแบบ Symmetrical Triangle เป็นรูปแบบที่บ่งบอกถึงการพักตัวของราคา โดยที่เส้นแนวรับและแนวต้านจะบีบตัวเข้าหากันเป็นรูปสามเหลี่ยมที่สมมาตรกัน ไม่ได้เอียงขึ้นหรือลงเหมือนสามเหลี่ยมแบบอื่นๆ ลักษณะประกอบด้วย:

  • เส้นแนวรับที่ยกตัวสูงขึ้น: เกิดจากจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
  • เส้นแนวต้านที่ลดต่ำลง: เกิดจากจุดสูงสุดที่ลดต่ำลงเรื่อยๆ

รูปแบบนี้บ่งชี้ถึงความไม่แน่นอนในตลาดที่แรงซื้อและแรงขายกำลังต่อสู้กันอย่างสูสี ไม่สามารถผลักดันราคาไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งได้อย่างชัดเจน ทิศทางการ Breakout อาจเกิดขึ้นได้ทั้งขาขึ้นหรือขาลง ขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานและข่าวสารที่เข้ามาในตลาด เทรดเดอร์มักจะรอให้ราคา Breakout ออกจากกรอบสามเหลี่ยมก่อนที่จะตัดสินใจเปิดสถานะ

ในกรณีที่ไม่มีแนวโน้มที่ชัดเจนก่อนหน้าการก่อตัวของสามเหลี่ยมสมมาตร ตลาดอาจ Breakout ไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งอย่างไม่คาดคิด รูปแบบนี้จึงเป็นรูปแบบทวิภาคี (Bilateral Pattern) ที่ดีที่สุดในตลาดที่มีความผันผวนและไม่มีทิศทางที่ชัดเจน

ตารางสรุปรูปแบบกราฟและกลยุทธ์การเทรด

เพื่อความเข้าใจที่ง่ายขึ้น เราได้สรุปคุณลักษณะสำคัญและกลยุทธ์การเทรดสำหรับแต่ละรูปแบบกราฟไว้ในตารางด้านล่างนี้:

รูปแบบกราฟ ประเภท การตีความ กลยุทธ์การเทรด
Head and Shoulders กลับตัว (Bearish Reversal) สิ้นสุดแนวโน้มขาขึ้น, มีโอกาสลง Short เมื่อ Breakout Neckline
Double Top กลับตัว (Bearish Reversal) สิ้นสุดแนวโน้มขาขึ้น, มีโอกาสลง Short เมื่อ Breakout แนวรับ
Double Bottom กลับตัว (Bullish Reversal) สิ้นสุดแนวโน้มขาลง, มีโอกาสขึ้น Long เมื่อ Breakout แนวต้าน
Rounding Bottom กลับตัว (Bullish Reversal) สิ้นสุดแนวโน้มขาลงอย่างช้าๆ, มีโอกาสขึ้น Long เมื่อ Breakout แนวต้าน
Cup and Handle ต่อเนื่อง (Bullish Continuation) แนวโน้มขาขึ้นพักตัวก่อนขึ้นต่อ Long เมื่อ Breakout ส่วน Handle
Rising Wedge กลับตัว (Bearish Reversal) แนวโน้มขาขึ้นอ่อนแรง, มีโอกาสลง Short เมื่อ Breakout แนวรับ
Falling Wedge กลับตัว (Bullish Reversal) แนวโน้มขาลงอ่อนแรง, มีโอกาสขึ้น Long เมื่อ Breakout แนวต้าน
Pennant or Flags ต่อเนื่อง (Continuation) ราคาพักตัวก่อนไปต่อในแนวโน้มเดิม เทรดตามทิศทาง Breakout
Ascending Triangle ต่อเนื่อง (Bullish Continuation) แรงซื้อแข็งแกร่ง, มีโอกาสขึ้น Long เมื่อ Breakout แนวต้านแนวนอน
Descending Triangle ต่อเนื่อง (Bearish Continuation) แรงขายแข็งแกร่ง, มีโอกาสลง Short เมื่อ Breakout แนวรับแนวนอน
Symmetrical Triangle พักตัว/ทวิภาคี (Consolidation/Bilateral) ตลาดไม่แน่นอน, รอ Breakout รอ Breakout ก่อนเปิดสถานะ

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

รูปแบบกราฟคืออะไร และมีความสำคัญอย่างไร?

รูปแบบกราฟคือการก่อตัวของราคาบนกราฟที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ซึ่งสามารถบ่งบอกถึงทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตได้ มีความสำคัญอย่างยิ่งในการวิเคราะห์ทางเทคนิค เพราะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถคาดการณ์แนวโน้ม, จุดกลับตัว, และจุดตัดสินใจซื้อขายได้อย่างมีหลักการ

ควรใช้รูปแบบกราฟเพียงอย่างเดียวในการเทรดหรือไม่?

ไม่ควรอย่างยิ่ง การใช้รูปแบบกราฟเพียงอย่างเดียวมีความเสี่ยงสูง ควรใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ เช่น Indicator (Moving Average, RSI, MACD), แนวรับ-แนวต้าน, หรือการวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของสัญญาณและลดความเสี่ยง

รูปแบบกราฟแบบกลับตัว (Reversal Pattern) กับรูปแบบต่อเนื่อง (Continuation Pattern) ต่างกันอย่างไร?

  • รูปแบบกลับตัว (Reversal Pattern): บ่งชี้ว่าแนวโน้มปัจจุบันกำลังจะสิ้นสุดลงและเปลี่ยนทิศทาง เช่น Head and Shoulders, Double Top/Bottom
  • รูปแบบต่อเนื่อง (Continuation Pattern): บ่งชี้ว่าหลังจากราคาพักตัวแล้ว จะเคลื่อนที่ต่อไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มเดิม เช่น Cup and Handle, Pennant, Flag

กราฟรูปแบบใดที่เหมาะสำหรับมือใหม่?

สำหรับมือใหม่ ควรเริ่มต้นจากรูปแบบที่เข้าใจง่ายและพบเห็นได้บ่อย เช่น Double Top/Bottom, Head and Shoulders เนื่องจากมีความชัดเจนในการตีความและมีโอกาสในการเทรดที่ค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตาม การฝึกฝนและทำความเข้าใจหลักการเบื้องหลังแต่ละรูปแบบเป็นสิ่งสำคัญ

จะเพิ่มความแม่นยำในการใช้รูปแบบกราฟได้อย่างไร?

การเพิ่มความแม่นยำในการใช้รูปแบบกราฟสามารถทำได้โดย:

  • ยืนยันด้วย Volume: รูปแบบที่เกิดพร้อมกับ Volume ที่สูงขึ้นมักจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่า
  • ใช้ Multiple Timeframes: การวิเคราะห์รูปแบบใน Timeframe ที่แตกต่างกันจะช่วยให้เห็นภาพรวมของตลาดได้ชัดเจนขึ้น
  • พิจารณาปัจจัยพื้นฐาน: ข่าวเศรษฐกิจและปัจจัยพื้นฐานสามารถส่งผลกระทบต่อรูปแบบกราฟได้
  • ฝึกฝนและทดสอบ: การทดสอบกลยุทธ์ย้อนหลัง (Backtesting) และการฝึกฝนบนบัญชี Demo จะช่วยให้คุณคุ้นเคยและมั่นใจในการใช้งานมากขึ้น

สรุป

การทำความเข้าใจ 10 รูปแบบกราฟที่นำเสนอในบทความนี้เป็นรากฐานสำคัญสำหรับเทรดเดอร์ทุกคนที่ต้องการประสบความสำเร็จในการเทรด ไม่ว่าจะเป็นการคาดการณ์การกลับตัวของแนวโน้ม หรือการยืนยันการเคลื่อนที่ของราคาอย่างต่อเนื่อง รูปแบบเหล่านี้เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการวิเคราะห์และตัดสินใจซื้อขาย อย่างไรก็ตาม การใช้รูปแบบกราฟเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ควรผสมผสานกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐานอื่นๆ รวมถึงการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงในการลงทุน

เริ่มต้นฝึกฝนการระบุและตีความรูปแบบเหล่านี้บนกราฟจริง และพัฒนาวินัยในการเทรดของคุณ เพื่อก้าวสู่การเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพที่ประสบความสำเร็จในระยะยาว

You Might Also Like

Contact Us on Line