TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
สอนเทรดมือใหม่

รูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns)

กันยายน 23, 2024

เจาะลึกรูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns): คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับนักเทรด

การวิเคราะห์กราฟแท่งเทียน (Candlestick Charts) เป็นหนึ่งในรากฐานสำคัญของการวิเคราะห์ทางเทคนิคในตลาดการเงิน ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น, Forex, คริปโตเคอร์เรนซี หรือสินค้าโภคภัณฑ์ ด้วยลักษณะที่เข้าใจง่ายและให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมราคา ทำให้รูปแบบแท่งเทียนเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับเทรดเดอร์ในการคาดการณ์ทิศทางของตลาดและวางแผนการซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้จะนำเสนอคู่มือฉบับสมบูรณ์เกี่ยวกับรูปแบบแท่งเทียนที่สำคัญ โดยแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ได้แก่ รูปแบบการกลับตัว (Reversal Patterns) และรูปแบบการต่อเนื่อง (Continuation Patterns) พร้อมทั้งอธิบายรายละเอียด ลักษณะการเกิด และนัยยะทางการตลาด เพื่อให้ผู้อ่านสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการตัดสินใจลงทุนได้อย่างมั่นใจ

ทำความเข้าใจพื้นฐานของแท่งเทียน

ก่อนที่จะลงลึกถึงรูปแบบต่างๆ สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจโครงสร้างพื้นฐานของแท่งเทียนแต่ละแท่งก่อน แท่งเทียนแต่ละแท่งจะแสดงข้อมูลราคาในช่วงเวลาหนึ่ง (เช่น 1 นาที, 1 ชั่วโมง, 1 วัน) ประกอบด้วย:

  • ลำตัวแท่งเทียน (Real Body): แสดงช่วงราคาเปิดและราคาปิด หากลำตัวเป็นสีเขียว (หรือสีขาว) หมายถึงราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด (Bullish) หากเป็นสีแดง (หรือสีดำ) หมายถึงราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด (Bearish)
  • ไส้เทียน/เงาเทียน (Wick/Shadow): เส้นที่ยื่นออกมาจากลำตัว แสดงถึงราคาสูงสุด (Upper Shadow) และราคาต่ำสุด (Lower Shadow) ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น

การรวมกันของลำตัวและไส้เทียนจะบอกเล่าเรื่องราวของการต่อสู้ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย และเป็นพื้นฐานในการตีความรูปแบบแท่งเทียน

รูปแบบแท่งเทียนการกลับตัว (Reversal Patterns)

รูปแบบการกลับตัวบ่งบอกถึงความเป็นไปได้ที่แนวโน้มราคาปัจจุบันกำลังจะสิ้นสุดลงและเปลี่ยนทิศทางไปในทางตรงกันข้าม การระบุรูปแบบเหล่านี้ได้รวดเร็วสามารถช่วยให้เทรดเดอร์เข้าหรือออกจากตำแหน่งได้อย่างทันท่วงที

Tweezers Bottom (ทวิสเซอร์ บอททอม)

คืออะไร:

Tweezers Bottom เป็นรูปแบบการกลับตัวที่เป็นบวก (Bullish Reversal Pattern) ที่เกิดขึ้นที่จุดต่ำสุดของแนวโน้มขาลง ประกอบด้วยแท่งเทียนสองแท่งที่ติดกัน โดยมีราคาต่ำสุด (Low) หรือราคาปิด (Close) ที่เท่ากันหรือใกล้เคียงกันมาก แสดงถึงการปฏิเสธราคาในระดับต่ำอย่างชัดเจน

ลักษณะ:

  • แท่งเทียนที่ 1: เป็นแท่งเทียนขาลง (Bearish Candlestick) ที่มีลำตัวสีแดงหรือดำ แสดงถึงแรงขายที่ยังคงมีอิทธิพล
  • แท่งเทียนที่ 2: เป็นแท่งเทียนขาขึ้น (Bullish Candlestick) ที่มีลำตัวสีเขียวหรือขาว และมีราคาต่ำสุด (Low) เท่ากับหรือใกล้เคียงกับราคาต่ำสุดของแท่งเทียนแรกมาก บางครั้งอาจมีราคาเปิดหรือราคาปิดที่เท่ากันด้วย

ลักษณะการเกิดและนัยยะ:

รูปแบบนี้มักพบในช่วงปลายของ แนวโน้มขาลง บ่งชี้ว่า ณ จุดราคาต่ำสุดนั้น แรงขายเริ่มหมดลง และแรงซื้อเริ่มเข้ามาตอบโต้ ทำให้ราคาไม่สามารถทำจุดต่ำสุดใหม่ได้ หรือถูกผลักดันกลับขึ้นไปอย่างรวดเร็วหลังจากการทำจุดต่ำสุดเท่าเดิม การที่แท่งเทียนทั้งสองมีระดับราคาต่ำสุดที่เท่ากันอย่างมีนัยสำคัญ แสดงถึงระดับแนวรับที่แข็งแกร่ง ซึ่งตลาดได้ทดสอบแล้วสองครั้งและไม่สามารถทะลุลงไปได้ จึงมีโอกาสสูงที่จะเกิดการกลับตัวเป็นแนวโน้มขาขึ้น

ถ้า…จะเป็นอย่างไร:

หากรูปแบบ Tweezers Bottom เกิดขึ้นพร้อมกับสัญญาณยืนยันอื่นๆ เช่น ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นในแท่งเทียนที่สอง หรือการเคลื่อนไหวของราคาที่สูงขึ้นในแท่งถัดไป ความน่าเชื่อถือของสัญญาณการกลับตัวจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ถ้าแท่งถัดไปยังคงเป็นขาลง หรือไม่สามารถยืนเหนือระดับราคาปิดของแท่งที่สองได้ อาจบ่งชี้ถึงสัญญาณหลอก

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับรูปแบบ Tweezers ได้ที่นี่: Tweezer Tops และ Tweezer Bottoms คืออะไร

Double Bottom (ดับเบิล บอททอม)

คืออะไร:

Double Bottom เป็นรูปแบบการกลับตัวที่เป็นบวก (Bullish Reversal Pattern) ที่มีลักษณะคล้ายตัวอักษร “W” แสดงถึงการที่ราคาปรับตัวลงไปสร้างจุดต่ำสุดสองครั้งในระดับราคาที่ใกล้เคียงกัน และไม่สามารถทำจุดต่ำสุดใหม่ได้ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงแนวโน้มขาลงที่กำลังจะสิ้นสุดลง

ลักษณะ:

  • จุดต่ำสุดที่ 1: ราคาร่วงลงมาถึงระดับหนึ่งแล้วเด้งกลับขึ้นไปเล็กน้อย
  • จุดสูงสุดชั่วคราว (Neckline): ราคาปรับตัวขึ้นไปถึงระดับหนึ่ง (ซึ่งจะกลายเป็นแนวต้านสำคัญเมื่อรูปแบบสมบูรณ์)
  • จุดต่ำสุดที่ 2: ราคาปรับตัวลงมาอีกครั้ง แต่ไม่สามารถทะลุจุดต่ำสุดที่ 1 ลงไปได้ หรือลงมาในระดับที่ใกล้เคียงกันมาก
  • การทะลุแนวต้าน (Breakout): ราคาทะลุผ่านจุดสูงสุดชั่วคราว (Neckline) ขึ้นไป ซึ่งเป็นสัญญาณยืนยันการกลับตัว

ลักษณะการเกิดและนัยยะ:

รูปแบบ Double Bottom มักพบในช่วงปลายของแนวโน้มขาลงยาวนาน บ่งบอกถึงการที่แรงขายเริ่มอ่อนแรงลง และแรงซื้อเริ่มเข้ามาสะสมกำลัง การที่ตลาดทดสอบระดับแนวรับเดียวกันถึงสองครั้งและไม่สามารถทำจุดต่ำสุดใหม่ได้ แสดงถึงความแข็งแกร่งของแนวรับนั้น เมื่อราคาทะลุ Neckline ขึ้นไป ยืนยันว่าผู้ซื้อได้เข้าควบคุมตลาดอย่างสมบูรณ์ และมีโอกาสสูงที่ราคาจะปรับตัวขึ้นไปตามเป้าหมายที่วัดจากความสูงของรูปแบบ

ผลลัพธ์เป็นยังไง:

หาก Double Bottom สมบูรณ์และมีการทะลุ Neckline พร้อมปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น มักจะส่งผลให้เกิดการปรับตัวขึ้นของราคาอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีเป้าหมายราคาประมาณจากระยะห่างระหว่างจุดต่ำสุดกับ Neckline

Tweezers Top (ทวิสเซอร์ ท็อป)

คืออะไร:

Tweezers Top เป็นรูปแบบการกลับตัวที่เป็นลบ (Bearish Reversal Pattern) ที่เกิดขึ้นที่จุดสูงสุดของแนวโน้มขาขึ้น ประกอบด้วยแท่งเทียนสองแท่งที่ติดกัน โดยมีราคาสูงสุด (High) หรือราคาปิด (Close) ที่เท่ากันหรือใกล้เคียงกันมาก แสดงถึงการปฏิเสธราคาในระดับสูงอย่างชัดเจน

ลักษณะ:

  • แท่งเทียนที่ 1: เป็นแท่งเทียนขาขึ้น (Bullish Candlestick) ที่มีลำตัวสีเขียวหรือขาว แสดงถึงแรงซื้อที่ยังคงมีอิทธิพล
  • แท่งเทียนที่ 2: เป็นแท่งเทียนขาลง (Bearish Candlestick) ที่มีลำตัวสีแดงหรือดำ และมีราคาสูงสุด (High) เท่ากับหรือใกล้เคียงกับราคาสูงสุดของแท่งเทียนแรกมาก บางครั้งอาจมีราคาเปิดหรือราคาปิดที่เท่ากันด้วย

ลักษณะการเกิดและนัยยะ:

รูปแบบนี้มักพบในช่วงปลายของแนวโน้มขาขึ้น บ่งชี้ว่า ณ จุดราคาสูงสุดนั้น แรงซื้อเริ่มหมดลง และแรงขายเริ่มเข้ามาตอบโต้ ทำให้ราคาไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้ หรือถูกผลักดันกลับลงมาอย่างรวดเร็วหลังจากการทำจุดสูงสุดเท่าเดิม การที่แท่งเทียนทั้งสองมีระดับราคาสูงสุดที่เท่ากันอย่างมีนัยสำคัญ แสดงถึงระดับแนวต้านที่แข็งแกร่ง ซึ่งตลาดได้ทดสอบแล้วสองครั้งและไม่สามารถทะลุขึ้นไปได้ จึงมีโอกาสสูงที่จะเกิดการกลับตัวเป็นแนวโน้มขาลง

ถ้า…จะเป็นอย่างไร:

หากรูปแบบ Tweezers Top เกิดขึ้นพร้อมกับสัญญาณยืนยันอื่นๆ เช่น ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นในแท่งเทียนที่สอง หรือการเคลื่อนไหวของราคาที่ต่ำลงในแท่งถัดไป ความน่าเชื่อถือของสัญญาณการกลับตัวจะเพิ่มขึ้น แต่ถ้าแท่งถัดไปยังคงเป็นขาขึ้น หรือไม่สามารถยืนต่ำกว่าระดับราคาปิดของแท่งที่สองได้ อาจบ่งชี้ถึงสัญญาณหลอก

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับรูปแบบ Tweezers ได้ที่นี่: Tweezer Tops และ Tweezer Bottoms คืออะไร

Double Top (ดับเบิล ท็อป)

คืออะไร:

Double Top เป็นรูปแบบการกลับตัวที่เป็นลบ (Bearish Reversal Pattern) ที่มีลักษณะคล้ายตัวอักษร “M” แสดงถึงการที่ราคาปรับตัวขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดสองครั้งในระดับราคาที่ใกล้เคียงกัน และไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงแนวโน้มขาขึ้นที่กำลังจะสิ้นสุดลง

ลักษณะ:

  • จุดสูงสุดที่ 1: ราคาปรับตัวขึ้นไปถึงระดับหนึ่งแล้วร่วงลงมาเล็กน้อย
  • จุดต่ำสุดชั่วคราว (Neckline): ราคาปรับตัวลงมาถึงระดับหนึ่ง (ซึ่งจะกลายเป็นแนวรับสำคัญเมื่อรูปแบบสมบูรณ์)
  • จุดสูงสุดที่ 2: ราคาปรับตัวขึ้นไปอีกครั้ง แต่ไม่สามารถทะลุจุดสูงสุดที่ 1 ขึ้นไปได้ หรือขึ้นมาในระดับที่ใกล้เคียงกันมาก
  • การทะลุแนวรับ (Breakdown): ราคาร่วงทะลุผ่านจุดต่ำสุดชั่วคราว (Neckline) ลงไป ซึ่งเป็นสัญญาณยืนยันการกลับตัว

ลักษณะการเกิดและนัยยะ:

รูปแบบ Double Top มักพบในช่วงปลายของแนวโน้มขาขึ้นยาวนาน บ่งบอกถึงการที่แรงซื้อเริ่มอ่อนแรงลง และแรงขายเริ่มเข้ามาสะสมกำลัง การที่ตลาดทดสอบระดับแนวต้านเดียวกันถึงสองครั้งและไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้ แสดงถึงความแข็งแกร่งของแนวต้านนั้น เมื่อราคาทะลุ Neckline ลงไป ยืนยันว่าผู้ขายได้เข้าควบคุมตลาดอย่างสมบูรณ์ และมีโอกาสสูงที่ราคาจะปรับตัวลงไปตามเป้าหมายที่วัดจากความสูงของรูปแบบ

ผลลัพธ์เป็นยังไง:

หาก Double Top สมบูรณ์และมีการทะลุ Neckline พร้อมปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น มักจะส่งผลให้เกิดการปรับตัวลงของราคาอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีเป้าหมายราคาประมาณจากระยะห่างระหว่างจุดสูงสุดกับ Neckline

Bullish Harami (ฮารามิขาขึ้น)

คืออะไร:

Bullish Harami เป็นรูปแบบการกลับตัวที่เป็นบวก (Bullish Reversal Pattern) ที่เกิดขึ้นที่จุดต่ำสุดของแนวโน้มขาลง คำว่า “Harami” ในภาษาญี่ปุ่นหมายถึง “หญิงตั้งครรภ์” ซึ่งสะท้อนลักษณะของรูปแบบได้อย่างชัดเจน

ลักษณะ:

  • แท่งเทียนที่ 1 (แม่): เป็นแท่งเทียนขาลงขนาดใหญ่ (Large Bearish Candlestick) ที่มีลำตัวสีแดงหรือดำ แสดงถึงแรงขายที่ครอบงำตลาด
  • แท่งเทียนที่ 2 (ลูก): เป็นแท่งเทียนขาขึ้นขนาดเล็ก (Small Bullish Candlestick) ที่มีลำตัวสีเขียวหรือขาว โดยลำตัวของแท่งเทียนที่สองจะอยู่ภายในกรอบของลำตัวแท่งเทียนแรกทั้งหมด

ลักษณะการเกิดและนัยยะ:

รูปแบบ Bullish Harami มักพบในช่วงปลายของแนวโน้มขาลง บ่งชี้ถึงการชะลอตัวของแรงขายหลังจากที่แท่งเทียนแรกแสดงถึงความแข็งแกร่งของตลาดขาลง การปรากฏของแท่งเทียนขนาดเล็กที่สองที่อยู่ภายในกรอบของแท่งแรก แสดงให้เห็นว่าแรงขายไม่สามารถผลักดันราคาให้ต่ำลงกว่าเดิมได้มากนัก และแรงซื้อเริ่มเข้ามาเล็กน้อย ทำให้นักเทรดเริ่มลังเลและพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการกลับตัวของราคา สัญญาณนี้ไม่ได้บ่งบอกถึงการกลับตัวที่รุนแรงในทันที แต่เป็นการเตือนถึงการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น

ถ้า…จะเป็นอย่างไร:

หาก Bullish Harami เกิดขึ้นพร้อมกับสัญญาณยืนยันอื่นๆ เช่น การทะลุแนวต้านในแท่งเทียนถัดไป หรือการเคลื่อนไหวของราคาที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในวันรุ่งขึ้น จะเพิ่มความน่าเชื่อถือของสัญญาณการกลับตัวเป็นขาขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หากไม่มีการยืนยัน ราคาอาจยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ หรือกลับไปเป็นขาลงได้

Bearish Harami (ฮารามิขาลง)

คืออะไร:

Bearish Harami เป็นรูปแบบการกลับตัวที่เป็นลบ (Bearish Reversal Pattern) ที่เกิดขึ้นที่จุดสูงสุดของแนวโน้มขาขึ้น มีลักษณะตรงข้ามกับ Bullish Harami

ลักษณะ:

  • แท่งเทียนที่ 1 (แม่): เป็นแท่งเทียนขาขึ้นขนาดใหญ่ (Large Bullish Candlestick) ที่มีลำตัวสีเขียวหรือขาว แสดงถึงแรงซื้อที่ครอบงำตลาด
  • แท่งเทียนที่ 2 (ลูก): เป็นแท่งเทียนขาลงขนาดเล็ก (Small Bearish Candlestick) ที่มีลำตัวสีแดงหรือดำ โดยลำตัวของแท่งเทียนที่สองจะอยู่ภายในกรอบของลำตัวแท่งเทียนแรกทั้งหมด

ลักษณะการเกิดและนัยยะ:

รูปแบบ Bearish Harami มักพบในช่วงปลายของแนวโน้มขาขึ้น บ่งชี้ถึงการชะลอตัวของแรงซื้อหลังจากที่แท่งเทียนแรกแสดงถึงความแข็งแกร่งของตลาดขาขึ้น การปรากฏของแท่งเทียนขนาดเล็กที่สองที่อยู่ภายในกรอบของแท่งแรก แสดงให้เห็นว่าแรงซื้อไม่สามารถผลักดันราคาให้สูงขึ้นกว่าเดิมได้มากนัก และแรงขายเริ่มเข้ามาเล็กน้อย ทำให้นักเทรดเริ่มลังเลและพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการกลับตัวของราคา สัญญาณนี้ไม่ได้บ่งบอกถึงการกลับตัวที่รุนแรงในทันที แต่เป็นการเตือนถึงการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น

ถ้า…จะเป็นอย่างไร:

หาก Bearish Harami เกิดขึ้นพร้อมกับสัญญาณยืนยันอื่นๆ เช่น การทะลุแนวรับในแท่งเทียนถัดไป หรือการเคลื่อนไหวของราคาที่ต่ำลงอย่างต่อเนื่องในวันรุ่งขึ้น จะเพิ่มความน่าเชื่อถือของสัญญาณการกลับตัวเป็นขาลงอย่างมีนัยสำคัญ หากไม่มีการยืนยัน ราคาอาจยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ หรือกลับไปเป็นขาขึ้นได้

Bullish Pinbar (พินบาร์ขาขึ้น)

คืออะไร:

Bullish Pinbar หรือบางครั้งเรียกว่า Hammer หรือ Dragonfly Doji (ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของราคาเปิดและปิด) เป็นรูปแบบแท่งเทียนการกลับตัวที่เป็นบวก (Bullish Reversal Pattern) ที่แข็งแกร่ง บ่งบอกถึงการปฏิเสธราคาที่ระดับต่ำ

ลักษณะ:

  • ลำตัวแท่งเทียนขนาดเล็ก: ลำตัวของแท่งเทียนมีขนาดเล็กมาก และมักจะอยู่บริเวณส่วนบนของช่วงราคา (ใกล้กับราคาสูงสุด)
  • ไส้เทียนด้านล่างยาว (Long Lower Shadow): ไส้เทียนด้านล่างจะยาวเป็นอย่างน้อยสองหรือสามเท่าของขนาดลำตัว แสดงว่าราคาได้ลงไปทำจุดต่ำสุดแล้วถูกผลักดันกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
  • ไส้เทียนด้านบนสั้นหรือไม่มี: ไส้เทียนด้านบนสั้นมากหรือไม่มีเลย

ลักษณะการเกิดและนัยยะ:

Bullish Pinbar มักพบในช่วงปลายของแนวโน้มขาลง แสดงถึงการที่ผู้ขายพยายามผลักดันราคาให้ต่ำลงไปอย่างมาก แต่กลับถูกผู้ซื้อเข้าควบคุมและผลักดันราคากลับขึ้นมาปิดใกล้เคียงกับราคาเปิดหรือราคาสูงสุดได้สำเร็จ ไส้เทียนด้านล่างที่ยาวเป็นพิเศษแสดงถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่งมาก ณ ระดับราคาต่ำนั้น ๆ บ่งบอกถึงความเป็นไปได้สูงที่ราคาจะกลับตัวเป็นขาขึ้น

เคล็ดลับ:

ความน่าเชื่อถือของ Bullish Pinbar จะสูงขึ้นเมื่อเกิดขึ้นบริเวณแนวรับสำคัญ หรือเมื่อมีปริมาณการซื้อขายสูงในขณะที่เกิดรูปแบบ

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Pinbar ได้ที่นี่: Pin Bar Candlestick Meaning Characteristics Patterns

Bearish Pinbar (พินบาร์ขาลง)

คืออะไร:

Bearish Pinbar หรือบางครั้งเรียกว่า Shooting Star หรือ Gravestone Doji (ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของราคาเปิดและปิด) เป็นรูปแบบแท่งเทียนการกลับตัวที่เป็นลบ (Bearish Reversal Pattern) ที่แข็งแกร่ง บ่งบอกถึงการปฏิเสธราคาที่ระดับสูง

ลักษณะ:

  • ลำตัวแท่งเทียนขนาดเล็ก: ลำตัวของแท่งเทียนมีขนาดเล็กมาก และมักจะอยู่บริเวณส่วนล่างของช่วงราคา (ใกล้กับราคาต่ำสุด)
  • ไส้เทียนด้านบนยาว (Long Upper Shadow): ไส้เทียนด้านบนจะยาวเป็นอย่างน้อยสองหรือสามเท่าของขนาดลำตัว แสดงว่าราคาได้ขึ้นไปทำจุดสูงสุดแล้วถูกผลักดันกลับลงมาอย่างรวดเร็ว
  • ไส้เทียนด้านล่างสั้นหรือไม่มี: ไส้เทียนด้านล่างสั้นมากหรือไม่มีเลย

ลักษณะการเกิดและนัยยะ:

Bearish Pinbar มักพบในช่วงปลายของแนวโน้มขาขึ้น แสดงถึงการที่ผู้ซื้อพยายามผลักดันราคาให้สูงขึ้นไปอย่างมาก แต่กลับถูกผู้ขายเข้าควบคุมและผลักดันราคากลับลงมาปิดใกล้เคียงกับราคาเปิดหรือราคาต่ำสุดได้สำเร็จ ไส้เทียนด้านบนที่ยาวเป็นพิเศษแสดงถึงแรงขายที่แข็งแกร่งมาก ณ ระดับราคาสูงนั้น ๆ บ่งบอกถึงความเป็นไปได้สูงที่ราคาจะกลับตัวเป็นขาลง

เคล็ดลับ:

ความน่าเชื่อถือของ Bearish Pinbar จะสูงขึ้นเมื่อเกิดขึ้นบริเวณแนวต้านสำคัญ หรือเมื่อมีปริมาณการซื้อขายสูงในขณะที่เกิดรูปแบบ

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Pinbar ได้ที่นี่: Pin Bar Candlestick Meaning Characteristics Patterns

รูปแบบแท่งเทียนการต่อเนื่อง (Continuation Patterns)

รูปแบบการต่อเนื่องบ่งบอกถึงการพักตัวของราคาชั่วคราว ก่อนที่จะเคลื่อนที่ต่อไปในทิศทางเดิม การเข้าใจรูปแบบเหล่านี้ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถคาดการณ์ได้ว่าแนวโน้มปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไป

Bullish Pennant (ธงขาขึ้น)

คืออะไร:

Bullish Pennant เป็นรูปแบบการต่อเนื่องที่เป็นบวก (Bullish Continuation Pattern) ที่เกิดขึ้นหลังจากการเคลื่อนไหวของราคาที่แข็งแกร่งขึ้น (Pole) ตามด้วยช่วงการรวมตัวของราคาที่ลดลงในรูปแบบสามเหลี่ยมเล็กๆ คล้ายธง

ลักษณะ:

  • เสาธง (Pole): การเคลื่อนไหวของราคาที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วและมีปริมาณการซื้อขายสูง
  • ตัวธง (Pennant): หลังจาก Pole ราคาจะมีการพักตัว โดยเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ ที่ค่อยๆ บีบตัวลงเป็นรูปสามเหลี่ยมเล็กๆ โดยมีเส้นแนวโน้มทั้งด้านบนและด้านล่างบรรจบกัน
  • การทะลุธง (Breakout): ราคาจะทะลุออกจากรูปแบบสามเหลี่ยม (Pennant) ขึ้นไปในทิศทางเดียวกับ Pole

ลักษณะการเกิดและนัยยะ:

Bullish Pennant มักพบในแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง บ่งบอกถึงการที่ผู้ซื้อได้หยุดพักชั่วคราวเพื่อรวบรวมกำลังและสะสมคำสั่งซื้อขาย ก่อนที่จะผลักดันราคาให้สูงขึ้นต่อไป การบีบตัวของราคาภายในรูปแบบสามเหลี่ยมเล็กๆ แสดงถึงความไม่แน่ใจในระยะสั้น แต่เมื่อราคาทะลุขึ้นไป แสดงว่าแรงซื้อได้กลับมาควบคุมและพร้อมที่จะผลักดันราคาขึ้นสู่ระดับใหม่

ผลลัพธ์เป็นยังไง:

หาก Bullish Pennant สมบูรณ์และมีการทะลุธงขึ้นไปพร้อมปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น มักจะส่งผลให้เกิดการปรับตัวขึ้นของราคาอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีเป้าหมายราคาประมาณจากความสูงของ Pole ที่นำไปวางต่อจากจุด Breakout

Bearish Pennant (ธงขาลง)

คืออะไร:

Bearish Pennant เป็นรูปแบบการต่อเนื่องที่เป็นลบ (Bearish Continuation Pattern) ที่เกิดขึ้นหลังจากการเคลื่อนไหวของราคาที่แข็งแกร่งลง (Pole) ตามด้วยช่วงการรวมตัวของราคาที่ลดลงในรูปแบบสามเหลี่ยมเล็กๆ คล้ายธง

ลักษณะ:

  • เสาธง (Pole): การเคลื่อนไหวของราคาที่ร่วงลงอย่างรวดเร็วและมีปริมาณการซื้อขายสูง
  • ตัวธง (Pennant): หลังจาก Pole ราคาจะมีการพักตัว โดยเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ ที่ค่อยๆ บีบตัวลงเป็นรูปสามเหลี่ยมเล็กๆ โดยมีเส้นแนวโน้มทั้งด้านบนและด้านล่างบรรจบกัน
  • การทะลุธง (Breakout): ราคาจะทะลุออกจากรูปแบบสามเหลี่ยม (Pennant) ลงไปในทิศทางเดียวกับ Pole

ลักษณะการเกิดและนัยยะ:

Bearish Pennant มักพบในแนวโน้มขาลงที่แข็งแกร่ง บ่งบอกถึงการที่ผู้ขายได้หยุดพักชั่วคราวเพื่อรวบรวมกำลังและสะสมคำสั่งขาย ก่อนที่จะผลักดันราคาให้ต่ำลงต่อไป การบีบตัวของราคาภายในรูปแบบสามเหลี่ยมเล็กๆ แสดงถึงความไม่แน่ใจในระยะสั้น แต่เมื่อราคาทะลุลงไป แสดงว่าแรงขายได้กลับมาควบคุมและพร้อมที่จะผลักดันราคาลงสู่ระดับใหม่

ผลลัพธ์เป็นยังไง:

หาก Bearish Pennant สมบูรณ์และมีการทะลุธงลงไปพร้อมปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น มักจะส่งผลให้เกิดการปรับตัวลงของราคาอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีเป้าหมายราคาประมาณจากความสูงของ Pole ที่นำไปวางต่อจากจุด Breakout

Bullish Trap (กับดักขาขึ้น)

คืออะไร:

Bullish Trap หรือกับดักขาขึ้น เป็นสถานการณ์ที่ราคาสินทรัพย์ดูเหมือนจะส่งสัญญาณขาขึ้น แต่กลับกลายเป็นสัญญาณหลอกที่ทำให้เทรดเดอร์ที่เชื่อในสัญญาณนั้นติดกับดักและขาดทุนในที่สุด

ลักษณะ:

  • สัญญาณหลอกขาขึ้น: ราคาอาจทะลุแนวต้านสำคัญ หรือสร้างรูปแบบการกลับตัวขาขึ้นที่ดูเหมือนสมบูรณ์
  • การดึงกลับอย่างรวดเร็ว: หลังจากที่ราคาดูเหมือนจะขึ้นไปได้ไม่นาน ราคาจะกลับตัวลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทะลุแนวรับสำคัญลงไป
  • นักเทรดติดกับดัก: เทรดเดอร์ที่เข้าซื้อตามสัญญาณขาขึ้นจะติดอยู่ในตำแหน่งที่ขาดทุน

ลักษณะการเกิดและนัยยะ:

Bullish Trap มักเกิดขึ้นในตลาดที่มีความผันผวนสูง หรือในช่วงที่มีข่าวสำคัญที่สร้างความสับสนให้กับตลาด อาจเกิดจากการที่รายใหญ่พยายามล่อให้รายย่อยเข้ามาซื้อในระดับราคาสูง ก่อนที่จะเทขายทำกำไรอย่างรวดเร็ว ทำให้ราคาดิ่งลง การเกิด Bullish Trap บ่งบอกถึงความเปราะบางของแนวโน้มขาขึ้น และความได้เปรียบของแรงขายที่ซ่อนอยู่

ป้องกันได้อย่างไร:

เพื่อหลีกเลี่ยง Bullish Trap ควรใช้สัญญาณยืนยันหลายอย่าง เช่น ปริมาณการซื้อขาย, ตัวชี้วัดทางเทคนิคอื่นๆ (RSI, MACD), และพิจารณาปัจจัยพื้นฐานประกอบ นอกจากนี้ ควรตั้ง Stop Loss เสมอเพื่อจำกัดความเสี่ยง

Bearish Trap (กับดักขาลง)

คืออะไร:

Bearish Trap หรือกับดักขาลง เป็นสถานการณ์ที่ราคาสินทรัพย์ดูเหมือนจะส่งสัญญาณขาลง แต่กลับกลายเป็นสัญญาณหลอกที่ทำให้เทรดเดอร์ที่เชื่อในสัญญาณนั้นติดกับดักและขาดทุนในที่สุด

ลักษณะ:

  • สัญญาณหลอกขาลง: ราคาอาจทะลุแนวรับสำคัญ หรือสร้างรูปแบบการกลับตัวขาลงที่ดูเหมือนสมบูรณ์
  • การดึงกลับอย่างรวดเร็ว: หลังจากที่ราคาดูเหมือนจะลงไปได้ไม่นาน ราคาจะกลับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทะลุแนวต้านสำคัญขึ้นไป
  • นักเทรดติดกับดัก: เทรดเดอร์ที่เข้าขายตามสัญญาณขาลงจะติดอยู่ในตำแหน่งที่ขาดทุน (Short Squeeze)

ลักษณะการเกิดและนัยยะ:

Bearish Trap มักเกิดขึ้นในตลาดที่มีความผันผวนสูง หรือในช่วงที่มีข่าวสำคัญที่สร้างความสับสนให้กับตลาด อาจเกิดจากการที่รายใหญ่พยายามล่อให้รายย่อยเข้ามาขายในระดับราคาต่ำ ก่อนที่จะเข้าซื้อสะสมและผลักดันราคาขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ราคาพุ่งขึ้น การเกิด Bearish Trap บ่งบอกถึงความเปราะบางของแนวโน้มขาลง และความได้เปรียบของแรงซื้อที่ซ่อนอยู่

ป้องกันได้อย่างไร:

เช่นเดียวกับ Bullish Trap ควรใช้สัญญาณยืนยันหลายอย่าง เช่น ปริมาณการซื้อขาย, ตัวชี้วัดทางเทคนิคอื่นๆ, และพิจารณาปัจจัยพื้นฐานประกอบ นอกจากนี้ ควรตั้ง Stop Loss เสมอเพื่อจำกัดความเสี่ยง

ตารางสรุปรูปแบบแท่งเทียนที่สำคัญ

ชื่อรูปแบบ ประเภท นัยยะ ลักษณะสำคัญ ข้อควรระวัง/เคล็ดลับ
Tweezers Bottom กลับตัว (Bullish) แนวโน้มขาลงใกล้สิ้นสุด อาจกลับตัวเป็นขาขึ้น แท่งเทียน 2 แท่ง ราคาต่ำสุดเท่ากัน/ใกล้เคียงมาก ยืนยันด้วย Volume และแท่งถัดไป
Double Bottom กลับตัว (Bullish) แนวโน้มขาลงสิ้นสุด มีโอกาสกลับตัวเป็นขาขึ้นแรง ราคาสร้าง 2 จุดต่ำสุดเท่ากัน รูปตัว W รอ Breakout แนว Neckline พร้อม Volume
Tweezers Top กลับตัว (Bearish) แนวโน้มขาขึ้นใกล้สิ้นสุด อาจกลับตัวเป็นขาลง แท่งเทียน 2 แท่ง ราคาสูงสุดเท่ากัน/ใกล้เคียงมาก ยืนยันด้วย Volume และแท่งถัดไป
Double Top กลับตัว (Bearish) แนวโน้มขาขึ้นสิ้นสุด มีโอกาสกลับตัวเป็นขาลงแรง ราคาสร้าง 2 จุดสูงสุดเท่ากัน รูปตัว M รอ Breakdown แนว Neckline พร้อม Volume
Bullish Harami กลับตัว (Bullish) แรงขายชะลอตัว บ่งชี้การกลับตัวเป็นขาขึ้นในระยะถัดไป แท่งแดงใหญ่ตามด้วยแท่งเขียวเล็กที่อยู่ในกรอบ เป็นสัญญาณเตือน ต้องรอการยืนยัน
Bearish Harami กลับตัว (Bearish) แรงซื้อชะลอตัว บ่งชี้การกลับตัวเป็นขาลงในระยะถัดไป แท่งเขียวใหญ่ตามด้วยแท่งแดงเล็กที่อยู่ในกรอบ เป็นสัญญาณเตือน ต้องรอการยืนยัน
Bullish Pennant ต่อเนื่อง (Bullish) แนวโน้มขาขึ้นจะดำเนินต่อไปหลังพักตัว แท่งยาวขึ้น (Pole) ตามด้วยการพักตัวรูปสามเหลี่ยมเล็กๆ รอ Breakout ขึ้นไปพร้อม Volume
Bearish Pennant ต่อเนื่อง (Bearish) แนวโน้มขาลงจะดำเนินต่อไปหลังพักตัว แท่งยาวลง (Pole) ตามด้วยการพักตัวรูปสามเหลี่ยมเล็กๆ รอ Breakout ลงไปพร้อม Volume
Bullish Pinbar กลับตัว (Bullish) แรงซื้อกลับมาควบคุม บ่งชี้การกลับตัวเป็นขาขึ้น ลำตัวเล็ก ไส้ล่างยาวมาก ไส้บนสั้น/ไม่มี เกิดที่แนวรับจะน่าเชื่อถือสูง
Bearish Pinbar กลับตัว (Bearish) แรงขายกลับมาควบคุม บ่งชี้การกลับตัวเป็นขาลง ลำตัวเล็ก ไส้บนยาวมาก ไส้ล่างสั้น/ไม่มี เกิดที่แนวต้านจะน่าเชื่อถือสูง
Bullish Trap สัญญาณหลอก (Fakeout) สัญญาณขาขึ้นปลอม ทำให้ติดดอย ราคาทะลุแนวต้านหลอกแล้วกลับตัวลงแรง ใช้สัญญาณยืนยันหลายอย่าง, ตั้ง Stop Loss
Bearish Trap สัญญาณหลอก (Fakeout) สัญญาณขาลงปลอม ทำให้ Short Squeeze ราคาทะลุแนวรับหลอกแล้วกลับตัวขึ้นแรง ใช้สัญญาณยืนยันหลายอย่าง, ตั้ง Stop Loss

FAQ Section: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับรูปแบบแท่งเทียน

Q1: การใช้รูปแบบแท่งเทียนเพียงอย่างเดียวเพียงพอต่อการตัดสินใจซื้อขายหรือไม่?

A1: การใช้รูปแบบแท่งเทียนเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอต่อการตัดสินใจซื้อขายที่น่าเชื่อถือที่สุด แม้ว่ารูปแบบแท่งเทียนจะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับอารมณ์ของตลาดและพฤติกรรมราคา แต่การพึ่งพาสัญญาณจากแท่งเทียนเพียงอย่างเดียวอาจนำไปสู่สัญญาณหลอก (Fakeout) ได้บ่อยครั้ง เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของการวิเคราะห์ นักเทรดควรรวมการใช้รูปแบบแท่งเทียนเข้ากับการวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ เช่น การดูแนวรับ-แนวต้าน, Moving Averages, RSI, MACD หรือแม้กระทั่งการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของสินทรัพย์นั้นๆ การใช้หลายเครื่องมือร่วมกันจะช่วยยืนยันสัญญาณและลดความเสี่ยงในการตัดสินใจผิดพลาดได้เป็นอย่างดี

Q2: รูปแบบแท่งเทียนประเภทไหนที่น่าเชื่อถือที่สุด?

A2: ไม่มีรูปแบบแท่งเทียนใดที่น่าเชื่อถือ 100% แต่รูปแบบที่มีสัญญาณการกลับตัวที่แข็งแกร่งมักจะประกอบด้วยแท่งเทียนหลายแท่ง หรือมีลักษณะที่ชัดเจน เช่น รูปแบบ Engulfing (Bullish Engulfing/Bearish Engulfing), Hammer/Shooting Star (Pinbar), Morning Star/Evening Star หรือรูปแบบ Three White Soldiers/Three Black Crows รูปแบบเหล่านี้มักจะแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของโมเมนตัมตลาดอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ความน่าเชื่อถือของรูปแบบจะเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเกิดขึ้นในบริบทที่เหมาะสม เช่น ที่แนวรับ/แนวต้านที่แข็งแกร่ง, บน Timeframe ที่ใหญ่ขึ้น (เช่น กราฟรายวันหรือรายสัปดาห์) และได้รับการยืนยันด้วยปริมาณการซื้อขาย (Volume) ที่สูงขึ้น

Q3: Timeframe มีผลต่อความน่าเชื่อถือของรูปแบบแท่งเทียนอย่างไร?

A3: Timeframe หรือกรอบเวลา มีผลอย่างมากต่อความน่าเชื่อถือของรูปแบบแท่งเทียน โดยทั่วไปแล้ว รูปแบบแท่งเทียนที่เกิดขึ้นบน Timeframe ที่ใหญ่ขึ้น (เช่น H4, Daily, Weekly) จะมีความน่าเชื่อถือและมีน้ำหนักมากกว่ารูปแบบที่เกิดขึ้นบน Timeframe ที่เล็กกว่า (เช่น M1, M5, M15) เนื่องจากข้อมูลราคาใน Timeframe ที่ใหญ่กว่านั้นรวบรวมพฤติกรรมของตลาดในช่วงเวลาที่ยาวนานกว่า จึงสะท้อนถึงอารมณ์และการตัดสินใจของผู้เล่นในตลาดได้ชัดเจนกว่าและมีสัญญาณรบกวน (Noise) น้อยกว่า การวิเคราะห์แบบ Multi-Timeframe จึงเป็นสิ่งสำคัญในการยืนยันสัญญาณจากรูปแบบแท่งเทียน

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Multi-Timeframe Analysis ได้ที่นี่: Candlestick Chart Forex Reading Guide: Multi-Timeframe Analysis

Q4: ควรตั้ง Stop Loss เมื่อเทรดตามรูปแบบแท่งเทียนอย่างไร?

A4: การตั้ง Stop Loss (SL) เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการบริหารความเสี่ยงเมื่อเทรดตามรูปแบบแท่งเทียน โดยทั่วไป การตั้ง Stop Loss จะวางไว้เหนือจุดสูงสุดหรือต่ำสุดของรูปแบบแท่งเทียนที่ให้สัญญาณเล็กน้อย เพื่อให้มีพื้นที่สำหรับการเคลื่อนไหวของราคาเล็กน้อยก่อนที่จะยืนยันว่าสัญญาณนั้นไม่ถูกต้อง

  • สำหรับรูปแบบกลับตัวขาขึ้น (Bullish Reversal): ควรวาง Stop Loss ไว้ต่ำกว่าจุดต่ำสุดของรูปแบบ (เช่น ต่ำกว่าไส้เทียนด้านล่างของ Pinbar หรือต่ำกว่าจุดต่ำสุดของ Double Bottom)
  • สำหรับรูปแบบกลับตัวขาลง (Bearish Reversal): ควรวาง Stop Loss ไว้สูงกว่าจุดสูงสุดของรูปแบบ (เช่น สูงกว่าไส้เทียนด้านบนของ Pinbar หรือสูงกว่าจุดสูงสุดของ Double Top)

การตั้ง Stop Loss ที่เหมาะสมจะช่วยจำกัดการขาดทุนหากตลาดเคลื่อนที่ในทิศทางตรงกันข้ามกับที่คาดการณ์ไว้

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการตั้ง Stop Loss ได้ที่นี่: Stop Loss (SL) คืออะไร?

Q5: รูปแบบแท่งเทียนเหล่านี้สามารถใช้ได้กับสินทรัพย์ทางการเงินทุกประเภทหรือไม่?

A5: โดยหลักการแล้ว รูปแบบแท่งเทียนสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการวิเคราะห์สินทรัพย์ทางการเงินได้เกือบทุกประเภทที่มีการแสดงผลราคาในรูปแบบกราฟแท่งเทียน ไม่ว่าจะเป็นตลาด Forex, หุ้น, สินค้าโภคภัณฑ์ (เช่น ทองคำ, น้ำมัน), ดัชนีหุ้น หรือคริปโตเคอร์เรนซี เนื่องจากรูปแบบแท่งเทียนสะท้อนถึงจิตวิทยาการซื้อขายของมนุษย์ ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกันในทุกตลาด อย่างไรก็ตาม ความแม่นยำและประสิทธิภาพของแต่ละรูปแบบอาจแตกต่างกันไปในแต่ละตลาด ขึ้นอยู่กับสภาพคล่อง, ความผันผวน, และลักษณะเฉพาะของสินทรัพย์นั้นๆ ดังนั้น การทดลองใช้และปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับสินทรัพย์ที่เทรดจึงเป็นสิ่งสำคัญ

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเทรดทองคำได้ที่นี่: กลยุทธ์การเทรดทองคำสำหรับมือใหม่ในตลาด Forex

Conclusion: สรุปและ Call to Action

การทำความเข้าใจและการประยุกต์ใช้รูปแบบแท่งเทียนอย่างเชี่ยวชาญเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับนักเทรดทุกคนในตลาดการเงิน รูปแบบเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้เราอ่านอารมณ์ของตลาดและพฤติกรรมราคาได้เท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการคาดการณ์การกลับตัวและการต่อเนื่องของแนวโน้ม ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจซื้อขายที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สิ่งสำคัญคือการฝึกฝนและเรียนรู้ที่จะใช้รูปแบบแท่งเทียนร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ และการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม การรู้ว่าเมื่อใดควรเข้าและออกจากตลาด จะช่วยให้คุณสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างยั่งยืนและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

หากคุณพร้อมที่จะยกระดับความสามารถในการวิเคราะห์ตลาดของคุณให้เหนือกว่าเดิม เราขอแนะนำให้คุณศึกษาและฝึกฝนรูปแบบแท่งเทียนเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง และนำความรู้ที่ได้ไปทดลองใช้จริงใน บัญชีทดลอง (Demo Account) เพื่อสร้างความมั่นใจก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดจริง ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการเทรด!

You Might Also Like