TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
จิตวิทยา การบริหารเงิน

EP3 : เปิดออเดอร์ยังไง (Buy / Sell)

ตุลาคม 11, 2025

Ultimate Guide: วิธีเปิดออเดอร์ Buy/Sell ใน Forex อย่างมืออาชีพ พร้อมเทคนิคการจัดการความเสี่ยงขั้นสูงเพื่อความยั่งยืน

การก้าวเข้าสู่สนามการซื้อขาย Forex (Foreign Exchange Market) อย่างแท้จริงนั้น นักเทรดจำเป็นต้องมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในกลไกพื้นฐานที่ขับเคลื่อนตลาด นั่นคือการเปิดออเดอร์ในทิศทาง Buy (ซื้อ) หรือ Sell (ขาย) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างผลกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคาคู่สกุลเงิน แม้ว่าแนวคิดเหล่านี้จะดูเรียบง่าย แต่การตัดสินใจว่าจะ “Buy” หรือ “Sell” ในช่วงเวลาที่เหมาะสมนั้น ถือเป็นศิลปะที่ต้องอาศัยการวิเคราะห์ที่แม่นยำ การบริหารจัดการความเสี่ยงที่เข้มงวด และวินัยในการเทรดที่ยอดเยี่ยม

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้าน Forex เราจะนำเสนอข้อมูลเชิงลึกในทุกแง่มุมของการเปิดออเดอร์ ตั้งแต่ความหมายพื้นฐานและหลักการทำงาน ไปจนถึงกลยุทธ์การตั้งค่าพารามิเตอร์สำคัญ อาทิ Stop Loss, Take Profit และ Lot Size อย่างมืออาชีพ เพื่อให้คุณสามารถเทรดได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัย และมีโอกาสสร้างผลกำไรได้อย่างยั่งยืน บทความฉบับสมบูรณ์นี้จะทำหน้าที่เป็น “Ultimate Guide” ที่จะมอบความรู้และเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการเป็นนักเทรด Forex ที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง

ทำความเข้าใจพื้นฐานการเทรด Forex: Buy และ Sell คืออะไรและทำงานอย่างไร?

ตลาด Forex หรือ Foreign Exchange Market คือตลาดการเงินที่มีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก ซึ่งมีการแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างๆ ตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ จุดประสงค์หลักของการเทรด Forex ไม่ได้อยู่ที่การเป็นเจ้าของสินทรัพย์สกุลเงินจริง แต่มาจากการคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาคู่สกุลเงิน ไม่ว่าจะเป็นการคาดการณ์ว่าราคาจะปรับตัวสูงขึ้น หรือปรับตัวลดลง ซึ่งนำไปสู่การเปิดออเดอร์ในสองทิศทางหลักคือ Buy และ Sell

การเทรด Forex คืออะไรและทำไมถึงมีแค่ Buy กับ Sell?

ในตลาด Forex คุณจะทำการซื้อขาย “คู่สกุลเงิน” (Currency Pair) เสมอ เช่น EUR/USD, GBP/JPY หรือ XAU/USD (ทองคำเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ) คู่สกุลเงินเหล่านี้ประกอบด้วยสกุลเงินหลัก (Base Currency) และสกุลเงินอ้างอิง (Quote Currency) ตัวอย่างเช่น ในคู่ EUR/USD, EUR คือสกุลเงินหลัก และ USD คือสกุลเงินอ้างอิง การเคลื่อนไหวของราคาจะแสดงให้เห็นว่าสกุลเงินหลักมีมูลค่าเท่าใดเมื่อเทียบกับสกุลเงินอ้างอิง

  • Bid Price (ราคา Bid): คือราคาที่คุณสามารถ “ขาย” สกุลเงินหลักได้ (หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือ ซื้อสกุลเงินอ้างอิง) ในตลาด ณ ขณะนั้น
  • Ask Price (ราคา Ask): คือราคาที่คุณสามารถ “ซื้อ” สกุลเงินหลักได้ (หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือ ขายสกุลเงินอ้างอิง) ในตลาด ณ ขณะนั้น

ผลต่างระหว่างราคา Ask และ Bid เรียกว่า “Spread” ซึ่งเป็นต้นทุนการเทรดที่คุณต้องจ่ายให้กับโบรกเกอร์ การที่คุณจะตัดสินใจเปิดออเดอร์ Buy หรือ Sell นั้น ขึ้นอยู่กับการคาดการณ์ทิศทางราคาของสกุลเงินหลักเทียบกับสกุลเงินอ้างอิงเป็นสำคัญ

📈 Buy (Long Position): การคาดการณ์ราคาขึ้นอย่างละเอียด

การเปิดออเดอร์ Buy หรือที่รู้จักกันในนาม “Long Position” คือการดำเนินการ “ซื้อ” คู่สกุลเงินในขณะที่คุณคาดการณ์อย่างมั่นใจว่าราคาของสกุลเงินหลักจะ “ปรับตัวสูงขึ้น” เมื่อเทียบกับสกุลเงินอ้างอิงในอนาคต

  • แนวคิดเบื้องหลัง: เมื่อคุณเปิดสถานะ Buy คุณกำลังเข้าซื้อสกุลเงินหลักในราคาปัจจุบัน โดยมีเป้าหมายที่จะขายคืนสกุลเงินนั้นในราคาที่สูงกว่าเดิม เพื่อทำกำไรจากส่วนต่างราคา
  • เมื่อไรที่ควร Buy: การตัดสินใจ Buy ควรมาจาก การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) ที่ชี้ให้เห็นสัญญาณกระทิง (Bullish Signals) เช่น รูปแบบกราฟกลับตัวเป็นขาขึ้น, ตัวบ่งชี้ (Indicators) สนับสนุนเทรนด์ขาขึ้น หรือการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) ที่บ่งชี้ถึงข่าวเศรษฐกิจเชิงบวกของประเทศเจ้าของสกุลเงินหลัก เช่น อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ที่สูงขึ้น, อัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น, หรือตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่ง
  • กลไกการทำกำไร: หากราคาเคลื่อนไหวขึ้นตามที่คุณคาดการณ์ มูลค่าของสกุลเงินหลักที่คุณ “ซื้อ” ไว้จะเพิ่มขึ้น เมื่อคุณปิดออเดอร์ (ขายคืน) ส่วนต่างของราคาซื้อและราคาขายคืนจะเป็นกำไรสุทธิของคุณ
  • ตัวอย่างเชิงลึก: สมมติว่าคุณวิเคราะห์แล้วเชื่อว่า EUR/USD จะแข็งค่าขึ้นเนื่องจากธนาคารกลางยุโรปส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย คุณตัดสินใจกด Buy เมื่อราคาอยู่ที่ 1.10000 ด้วยความคาดหวังว่าราคาจะไปถึง 1.10500 หากราคาเคลื่อนที่ไปถึง 1.10500 และคุณปิดออเดอร์ทันที คุณจะได้กำไร 50 pips (Point in Percentage) ซึ่งเป็นหน่วยวัดการเปลี่ยนแปลงของราคาในตลาด Forex (เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Pip)
  • ผลลัพธ์: เมื่อราคาขึ้นจริงอย่างมีนัยสำคัญ คุณจะได้กำไรจากส่วนต่างราคาที่เพิ่มขึ้น
  • ความเสี่ยง: หากราคาเคลื่อนไหวสวนทาง (ลดลง) คุณจะขาดทุนจากส่วนต่างราคา การไม่ตั้ง Stop Loss (SL) หรือการตั้งค่าที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิดการขาดทุนจำนวนมาก และอาจนำไปสู่ภาวะ Margin Call หรือการถูกล้างพอร์ตทั้งหมดได้

📉 Sell (Short Position): การคาดการณ์ราคาลงอย่างละเอียด

การเปิดออเดอร์ Sell หรือที่เรียกว่า “Short Position” คือการดำเนินการ “ขาย” คู่สกุลเงินในขณะที่คุณคาดการณ์อย่างมั่นใจว่าราคาของสกุลเงินหลักจะ “ปรับตัวลดลง” เมื่อเทียบกับสกุลเงินอ้างอิงในอนาคต

  • แนวคิด (การขายชอร์ต) ใน Forex: ในตลาด Forex คุณสามารถ “ขาย” สกุลเงินที่คุณยังไม่ได้เป็นเจ้าของได้ โดยโบรกเกอร์จะอำนวยความสะดวกในการ “ยืม” สกุลเงินนั้นมาขายในราคาปัจจุบัน และคุณก็หวังว่าจะ “ซื้อคืน” สกุลเงินนั้นในราคาที่ต่ำกว่าในอนาคต เพื่อคืนให้กับโบรกเกอร์ ส่วนต่างของราคาขายและราคาซื้อคืนจะเป็นกำไรของคุณ นี่คือแก่นแท้ของการทำกำไรในตลาดขาลง
  • เมื่อไรที่ควร Sell: การตัดสินใจ Sell ควรมาจาก การวิเคราะห์ ที่บ่งชี้ถึงสัญญาณหมี (Bearish Signals) เช่น รูปแบบกราฟกลับตัวเป็นขาลง, ตัวบ่งชี้สนับสนุนเทรนด์ขาลง หรือการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานที่บ่งชี้ถึงข่าวเศรษฐกิจเชิงลบของประเทศเจ้าของสกุลเงินหลัก เช่น อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นแต่เศรษฐกิจชะลอตัว, การปรับลดอัตราดอกเบี้ย, หรือตัวเลขการว่างงานที่เพิ่มขึ้น
  • กลไกการทำกำไร: หากราคาเคลื่อนไหวลงตามที่คุณคาดการณ์ ราคาของสกุลเงินหลักที่คุณ “ขาย” ไว้จะลดลง ทำให้คุณสามารถ “ซื้อคืน” ในราคาที่ถูกลงได้ ส่วนต่างของราคาขายเริ่มต้นและราคาซื้อคืนจะเป็นกำไรของคุณ
  • ตัวอย่างเชิงลึก: สมมติว่าคุณวิเคราะห์แล้วเชื่อว่า XAU/USD (ทองคำ) จะอ่อนค่าลงจาก 1950.00 ไปยัง 1940.00 เนื่องจากดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว คุณตัดสินใจกด Sell เมื่อราคาอยู่ที่ 1950.00 หากราคาลดลงไปถึง 1940.00 และคุณปิดออเดอร์ คุณก็จะได้กำไร 10 pips (สำหรับทองคำ จุดทศนิยมที่ 2 คือ Pip)
  • ผลลัพธ์: เมื่อราคาลงจริงตามการคาดการณ์ คุณจะได้รับกำไรจากส่วนต่างราคา
  • ความเสี่ยง: หากราคาเคลื่อนไหวสวนทาง (สูงขึ้น) คุณจะขาดทุนจากส่วนต่างราคา และสิ่งที่สำคัญคือ ความเสี่ยงจากการเทรด Sell นั้น ‘ไม่จำกัด’ ทางทฤษฎี หากราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีเพดาน นี่คือเหตุผลที่การตั้ง Stop Loss สำหรับ Short Position มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด

การเปิดออเดอร์ Buy และ Sell ใน Forex

ขั้นตอนการเปิดออเดอร์ (Placing an Order) บนแพลตฟอร์มการเทรดอย่างมืออาชีพ

เมื่อคุณมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในแนวคิดของ Buy และ Sell แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเรียนรู้วิธีการเปิดออเดอร์จริงบนแพลตฟอร์มการเทรด (เช่น MetaTrader 4 หรือ MetaTrader 5) ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด รวมถึงการตั้งค่าพารามิเตอร์ต่างๆ ที่จำเป็นเพื่อควบคุมการเทรดของคุณ

ประเภทของออเดอร์ (Order Types) ที่ควรรู้เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการเทรด

การเปิดออเดอร์ในตลาด Forex ไม่ได้มีเพียงแค่การกดปุ่ม Buy หรือ Sell ทันทีเท่านั้น แต่ยังมีประเภทออเดอร์อื่นๆ ที่ช่วยให้นักเทรดสามารถวางแผนการเข้าและออกตลาดได้อย่างยืดหยุ่นและมีกลยุทธ์มากขึ้น

  • Market Execution (Instant Execution): การดำเนินการทันที ณ ราคาตลาดที่ดีที่สุด
    • คืออะไร: เป็นการเปิดออเดอร์ Buy หรือ Sell ทันที ณ ราคาตลาดปัจจุบันที่ดีที่สุดที่มีให้ โดยแพลตฟอร์มจะดำเนินการตามคำสั่งของคุณในทันทีที่สามารถทำได้
    • เหมาะสำหรับ: สถานการณ์ที่คุณต้องการเข้าหรือออกตลาดอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เช่น การประกาศข่าวเศรษฐกิจสำคัญ หรือการวิเคราะห์ของคุณชี้ว่าต้องดำเนินการทันทีเพื่อไม่ให้พลาดโอกาส
    • ข้อดี: ความรวดเร็วในการเข้าสู่ตลาด ช่วยให้คุณไม่พลาดโอกาสที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
    • ข้อเสีย: อาจได้ราคาที่ไม่ตรงเป้าหมายเป๊ะๆ (Slippage) หากตลาดมีการเคลื่อนไหวรวดเร็วและผันผวนสูง ซึ่งราคาที่ดำเนินการจริงอาจแตกต่างจากราคาที่คุณเห็นบนหน้าจอเล็กน้อย
  • Pending Orders (ออเดอร์ที่รอดำเนินการ): การวางแผนล่วงหน้าเพื่อเข้า/ออกตลาด

    Pending Orders เป็นคำสั่งที่คุณตั้งค่าไว้ล่วงหน้าเพื่อให้ระบบเปิดออเดอร์โดยอัตโนมัติเมื่อราคามาถึงระดับที่คุณกำหนดไว้ ซึ่งช่วยให้นักเทรดสามารถบริหารจัดการการเข้าและออกตลาดได้อย่างมีวินัยและมีประสิทธิภาพ แบ่งเป็น 4 ประเภทหลัก:

    • Buy Limit: ตั้งค่าซื้อที่ราคาต่ำกว่าราคาปัจจุบัน เหตุผล: เหมาะสมเมื่อคุณคาดการณ์ว่าราคาจะปรับตัวลงมาแตะแนวรับที่สำคัญ แล้วจะกลับตัวขึ้นไปอีกครั้ง (Buying the Dip)
    • Sell Limit: ตั้งค่าขายที่ราคาสูงกว่าราคาปัจจุบัน เหตุผล: เหมาะสมเมื่อคุณคาดการณ์ว่าราคาจะปรับตัวขึ้นไปแตะแนวต้านที่สำคัญ แล้วจะกลับตัวลงมาอีกครั้ง (Selling the Rally)
    • Buy Stop: ตั้งค่าซื้อที่ราคาสูงกว่าราคาปัจจุบัน เหตุผล: เหมาะสมเมื่อคุณคาดการณ์ว่าราคาจะทะลุแนวต้านสำคัญขึ้นไปอย่างรุนแรง (Breakout) และต้องการเข้าตามเทรนด์ขาขึ้นที่กำลังจะเกิดขึ้น
    • Sell Stop: ตั้งค่าขายที่ราคาต่ำกว่าราคาปัจจุบัน เหตุผล: เหมาะสมเมื่อคุณคาดการณ์ว่าราคาจะทะลุแนวรับสำคัญลงไปอย่างรุนแรง (Breakout) และต้องการเข้าตามเทรนด์ขาลงที่กำลังจะเกิดขึ้น

    ทำไมถึงใช้ Pending Orders? การใช้ Pending Orders เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการบริหารจัดการเวลาและวินัยการเทรด ช่วยให้นักเทรดไม่ต้องเฝ้าหน้าจอตลอดเวลา และสามารถเข้าสู่ตลาดได้ตามแผนที่วางไว้ล่วงหน้าอย่างแม่นยำ เป็นการลดอิทธิพลของอารมณ์และเพิ่มความเป็นมืออาชีพในการเทรด

การตั้งค่าพารามิเตอร์สำคัญก่อนเปิดออเดอร์: หัวใจของการจัดการความเสี่ยง

ก่อนที่คุณจะตัดสินใจกดปุ่ม Buy หรือ Sell อย่างไม่ลังเล มีสิ่งสำคัญหลายอย่างที่คุณต้องตั้งค่าอย่างรอบคอบ เพื่อควบคุมความเสี่ยงและกำหนดเป้าหมายกำไรอย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือหัวใจสำคัญของการเทรดอย่างมืออาชีพและยั่งยืน

🔹 Lot Size (ขนาดล็อต): หัวใจของการบริหารความเสี่ยงและการคำนวณกำไร/ขาดทุน

Lot Size คือขนาดของออเดอร์หรือปริมาณสัญญาที่คุณต้องการซื้อขายในตลาด Forex ขนาดของ Lot Size มีผลกระทบโดยตรงต่อมูลค่าต่อ Pip (Point in Percentage) และด้วยเหตุนี้จึงส่งผลต่อขนาดของกำไรหรือขาดทุนที่คุณจะได้รับ ยิ่งขนาดล็อตใหญ่เท่าไหร่ มูลค่าต่อ Pip ก็จะสูงขึ้น และความเสี่ยงกับโอกาสในการทำกำไรก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย

  • คืออะไร: Lot Size เป็นหน่วยมาตรฐานในการซื้อขาย Forex ที่ใช้ในการกำหนดปริมาณของสกุลเงินที่คุณกำลังซื้อขาย โดย 1 Lot มาตรฐานมีค่าเท่ากับ 100,000 หน่วยของสกุลเงินหลัก
  • ประเภทของ Lot Size และมูลค่าโดยประมาณ:
    • Standard Lot (1.00 Lot): เท่ากับ 100,000 หน่วยของสกุลเงินหลัก มูลค่าต่อ Pip ประมาณ $10 (สำหรับคู่สกุลเงินที่มี USD เป็น Quote Currency)
    • Mini Lot (0.10 Lot): เท่ากับ 10,000 หน่วยของสกุลเงินหลัก มูลค่าต่อ Pip ประมาณ $1
    • Micro Lot (0.01 Lot): เท่ากับ 1,000 หน่วยของสกุลเงินหลัก มูลค่าต่อ Pip ประมาณ $0.10
    • Nano Lot (0.001 Lot): เท่ากับ 100 หน่วยของสกุลเงินหลัก มูลค่าต่อ Pip ประมาณ $0.01 (โบรกเกอร์บางรายอาจมีให้เลือกใช้ เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่มีเงินทุนน้อยมาก)
  • ความสำคัญ: การเลือก Lot Size ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการบริหารความเสี่ยง (Money Management) โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับมือใหม่ การเริ่มต้นด้วย Micro Lot เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดในการเรียนรู้และฝึกฝนโดยมีความเสี่ยงทางการเงินที่ต่ำ
  • ผลกระทบต่อกำไร/ขาดทุน: หากคุณเปิด 1 Standard Lot (1.00) และราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่คุณต้องการ 10 pips คุณจะได้กำไรประมาณ $100 แต่หากราคาเคลื่อนไหวสวนทาง 10 pips คุณก็จะขาดทุน $100 เช่นกัน การเข้าใจความสัมพันธ์นี้เป็นสิ่งจำเป็นในการวางแผนการเทรด
  • การคำนวณ Lot Size ที่เหมาะสมอย่างมืออาชีพ: หลักการทั่วไปของการบริหารความเสี่ยงคือ ไม่ควรเสี่ยงเกิน 1-2% ของเงินทุนในพอร์ตต่อการเทรดหนึ่งครั้ง (เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยง) ตัวอย่างเช่น หากคุณมีเงินทุนในบัญชีเทรด $1,000 และต้องการเสี่ยง 1% ของเงินทุนในพอร์ตต่อการเทรดหนึ่งครั้ง นั่นคือ $10 หากคุณตั้ง Stop Loss ที่ 20 pips คุณสามารถคำนวณ Lot Size ที่เหมาะสมได้ดังนี้:

    มูลค่าต่อ Pip ที่ยอมรับได้ = ความเสี่ยงสูงสุด / จำนวน Pip ของ SL = $10 / 20 pips = $0.50 ต่อ Pip

    จากตารางข้างล่าง หาก 0.01 Lot เท่ากับ $0.10 ต่อ Pip ดังนั้น เพื่อให้ได้ $0.50 ต่อ Pip คุณควรเปิดออเดอร์ขนาด 0.05 Lot (0.50 / 0.10 = 5 Micro Lots หรือ 0.05 Lot) ซึ่งหมายถึง 5,000 หน่วยของสกุลเงินหลัก นี่คือการคำนวณที่แม่นยำเพื่อจำกัดความเสี่ยงของคุณ

ประเภท Lot Size จำนวนหน่วยสกุลเงินหลัก มูลค่าประมาณต่อ 1 Pip (สำหรับคู่ USD) ระดับความเสี่ยงที่เหมาะสม
Standard Lot (1.00) 100,000 $10 สูง (สำหรับนักเทรดที่มีเงินทุนมากและประสบการณ์สูงเท่านั้น)
Mini Lot (0.10) 10,000 $1 ปานกลาง (สำหรับนักเทรดที่มีประสบการณ์ปานกลางและเงินทุนเพียงพอ)
Micro Lot (0.01) 1,000 $0.10 ต่ำ (แนะนำสำหรับมือใหม่และผู้ที่ต้องการฝึกฝนกลยุทธ์)

🔹 SL (Stop Loss): จุดตัดขาดทุนเพื่อปกป้องเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

Stop Loss (SL) คือคำสั่งที่คุณกำหนดไว้ล่วงหน้าเพื่อ ให้ระบบปิดออเดอร์ของคุณโดยอัตโนมัติ หากราคาเคลื่อนที่สวนทางกับที่คุณคาดการณ์ จุดประสงค์หลักคือเพื่อจำกัดการขาดทุนให้จำกัดอยู่ในระดับที่คุณยอมรับได้และป้องกันเงินทุนในบัญชีของคุณ

  • คืออะไร: SL คือจุดราคาที่ตั้งไว้เพื่อ ป้องกันพอร์ตเสียหายหนัก เป็นการป้องกันไม่ให้การขาดทุนบานปลายเกินกว่าที่คุณจะรับได้
  • ทำไมถึงสำคัญอย่างยิ่ง: SL เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดในโลกของการเทรด Forex มันช่วยปกป้องคุณจากการขาดทุนที่มากเกินไป ป้องกันการเกิด Margin Call และการถูกล้างพอร์ตทั้งหมด ซึ่งเป็นฝันร้ายของนักเทรดทุกคน การตั้ง SL สะท้อนถึงวินัยและการบริหารเงินทุนที่แข็งแกร่ง
  • วิธีตั้งค่า SL อย่างมีกลยุทธ์:
    • ตามแนวรับ/แนวต้าน (Support/Resistance): วาง SL ไว้เหนือแนวต้าน (สำหรับ Sell Order) หรือต่ำกว่าแนวรับ (สำหรับ Buy Order) เล็กน้อย เพื่อให้ราคามีพื้นที่ “หายใจ” โดยไม่ถูกตัดขาดทุนเร็วเกินไป แต่ยังคงจำกัดความเสี่ยงไว้ (เรียนรู้แนวรับแนวต้าน)
    • ตามค่าเฉลี่ยความผันผวน (ATR – Average True Range): ใช้ค่า ATR เพื่อกำหนดระยะ SL ที่เหมาะสมกับความผันผวนปัจจุบันของตลาด วิธีนี้ช่วยให้ SL ไม่ใกล้หรือไกลเกินไปตามสภาพตลาด
    • ตามเปอร์เซ็นต์ของเงินทุน: กำหนด SL ให้สอดคล้องกับเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงสูงสุดที่คุณยอมรับได้ต่อการเทรดหนึ่งครั้ง (เช่น 1-2% ของเงินทุนในพอร์ต)
    • Fixed Pips: กำหนดจำนวน Pips ที่ชัดเจนจากจุดเข้าออเดอร์ เช่น 20-30 Pips โดยอิงจากกลยุทธ์การเทรดของคุณ
  • ผลลัพธ์หากไม่ตั้ง SL: หากคุณเปิดออเดอร์โดยไม่ตั้ง Stop Loss คุณอาจขาดทุนมหาศาลหากราคาวิ่งสวนทางอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง ซึ่งสามารถนำไปสู่การล้างพอร์ตได้อย่างรวดเร็ว
  • เคล็ดลับสำคัญ: Stop Loss ไม่ควรถูกเลื่อนออกไปเพียงเพราะ “หวังว่า” ราคาจะกลับมา การยึดติดกับ Stop Loss ที่ตั้งไว้ตั้งแต่แรกเป็นวินัยที่สำคัญที่สุดของนักเทรดมืออาชีพ

🔹 TP (Take Profit): จุดปิดกำไรอัตโนมัติเพื่อล็อคผลกำไรตามเป้าหมาย

Take Profit (TP) คือคำสั่งที่คุณกำหนดไว้ล่วงหน้าเพื่อ ให้ระบบปิดออเดอร์ของคุณโดยอัตโนมัติ เมื่อราคาเคลื่อนที่ไปถึงระดับกำไรที่คุณต้องการ จุดประสงค์คือเพื่อล็อคกำไรที่ทำได้และป้องกันไม่ให้กำไรที่เห็นอยู่หายไปหากราคากลับตัว

  • คืออะไร: TP คือจุดปิดกำไรอัตโนมัติ ที่ช่วยให้คุณสามารถล็อคกำไรได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ล่วงหน้า
  • ทำไมถึงสำคัญ: TP ช่วยให้คุณได้รับกำไรตามเป้าหมายโดยไม่ต้องเฝ้าหน้าจอตลอดเวลา และป้องกันไม่ให้กำไรที่คุณได้รับมาแล้วหายไปหากราคากลับตัวอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณรักษาวินัยในการเทรดและทำตามแผนที่วางไว้
  • วิธีตั้งค่า TP อย่างมีกลยุทธ์:
    • ตามแนวรับ/แนวต้าน: วาง TP ไว้ที่แนวต้านถัดไป (สำหรับ Buy Order) หรือแนวรับถัดไป (สำหรับ Sell Order) ที่ราคาอาจจะมีการพักตัวหรือกลับตัว
    • ตามอัตราส่วน Risk/Reward (RR Ratio): กำหนด TP ให้มี RR Ratio ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับกลยุทธ์ของคุณ เช่น 1:2 หรือ 1:3 หมายถึงยอมเสี่ยง $1 เพื่อแลกกับโอกาสทำกำไร $2 หรือ $3
    • ตามตัวบ่งชี้ทางเทคนิค: ใช้ตัวบ่งชี้ทางเทคนิคต่างๆ เช่น Fibonacci Retracement หรือ Moving Averages เพื่อหาจุดที่ราคาอาจจะกลับตัวหรือถึงเป้าหมาย
  • ผลลัพธ์หากไม่ตั้ง TP: คุณอาจพลาดโอกาสในการทำกำไรสูงสุด หรือกำไรที่คุณได้มาอาจหายไปอย่างรวดเร็วหากราคาย้อนกลับหลังจากแตะจุดสูงสุดหรือต่ำสุดชั่วคราว
  • เคล็ดลับสำคัญ: ตั้ง TP ให้สอดคล้องกับแผนการเทรดและอัตราส่วน Risk/Reward ที่ยอมรับได้ และควรประเมินสถานการณ์ตลาดอยู่เสมอ หากมีสัญญาณการกลับตัวที่ชัดเจน คุณอาจพิจารณาปิดออเดอร์ก่อนถึง TP ก็ได้

🔹 Spread และ Commission: ต้นทุนที่ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน

การเข้าใจถึงต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการเทรด Forex เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากจะส่งผลโดยตรงต่อผลกำไรสุทธิของคุณ

  • Spread: คือส่วนต่างระหว่างราคา Bid และ Ask เป็นต้นทุนหลักในการเทรด Forex ที่คุณต้องจ่ายให้กับโบรกเกอร์ทุกครั้งที่เปิดออเดอร์ ยิ่ง Spread กว้างเท่าไหร่ ต้นทุนของคุณก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น การเลือกโบรกเกอร์ที่มี Spread ต่ำจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่นักเทรดควรพิจารณา (ทำความเข้าใจ Spread เพิ่มเติม)
  • Commission: ค่าธรรมเนียมที่โบรกเกอร์เรียกเก็บต่อ Lot ที่คุณเทรด ซึ่งมักจะพบในบัญชีประเภท ECN (Electronic Communication Network) หรือ Raw Spread ที่ให้ Spread ต่ำมาก แต่จะชดเชยด้วยค่า Commission แทน
  • ความสำคัญ: การทำความเข้าใจต้นทุนเหล่านี้อย่างละเอียดจะช่วยให้คุณสามารถประเมินความเป็นไปได้ในการทำกำไรได้อย่างแม่นยำ และเลือกประเภทบัญชีหรือโบรกเกอร์ที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณ

กลยุทธ์และเคล็ดลับการเปิดออเดอร์สำหรับนักเทรดมือใหม่สู่มืออาชีพ

การเป็นนักเทรดที่ประสบความสำเร็จ ไม่ได้มาจากการเดาทิศทางราคาอย่างถูกต้องทุกครั้ง แต่มาจากการมีแผนการเทรดที่ชัดเจน การบริหารความเสี่ยงที่ดีเยี่ยม และวินัยที่แข็งแกร่งอย่างไม่สั่นคลอน

ความสำคัญของแผนการเทรด (Trading Plan) ที่ครอบคลุม

ก่อนที่จะกดปุ่ม Buy หรือ Sell คุณควรมีแผนการเทรดที่ชัดเจนและครอบคลุม ซึ่งเป็นเหมือนพิมพ์เขียวสำหรับการดำเนินการของคุณในตลาด ประกอบด้วย:

  • กลยุทธ์การเทรด: คุณจะเทรดตามเทรนด์ (Trend following) ที่มุ่งเน้นการเคลื่อนไหวตามทิศทางหลักของตลาด, เทรดในกรอบ (Range trading) ที่มุ่งเน้นการซื้อขายภายในแนวรับและแนวต้าน, หรือเทรดตามการทะลุ (Breakout) ที่มุ่งเน้นการเข้าตลาดเมื่อราคาทะลุระดับสำคัญออกไป
  • เงื่อนไขการเข้า/ออก (Entry/Exit Criteria): สัญญาณอะไรที่คุณจะใช้ในการเปิดออเดอร์ และสัญญาณอะไรที่คุณจะใช้ในการปิดออเดอร์ รวมถึงการพิจารณาปัจจัยทางเทคนิคและพื้นฐาน
  • อัตราส่วน Risk/Reward (RR Ratio): กำหนดไว้ล่วงหน้าว่าคุณจะยอมเสี่ยงเท่าไรเพื่อแลกกับกำไรเท่าไร เช่น 1:2 หรือ 1:3 ซึ่งหมายความว่าคุณยอมเสี่ยง 1 ส่วนเพื่อเป้าหมายกำไร 2 หรือ 3 ส่วน การมี RR Ratio ที่ดีช่วยให้คุณทำกำไรได้แม้ว่าจะชนะการเทรดไม่บ่อยนัก
  • การบริหารเงินทุน (Money Management): กำหนด Lot Size และเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงสูงสุดต่อการเทรดแต่ละครั้งอย่างเคร่งครัด เพื่อปกป้องเงินทุนของคุณจากการขาดทุนที่มากเกินไป (เรียนรู้แนวคิด 3M)

การมีแผนการเทรดที่รัดกุมจะช่วยให้คุณเทรดได้อย่างเป็นระบบ ลดอิทธิพลของอารมณ์ และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในระยะยาว

จิตวิทยาการเทรด: การควบคุมอารมณ์เมื่อต้องตัดสินใจ Buy/Sell

อารมณ์เป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้นักเทรดส่วนใหญ่ล้มเหลว การควบคุมอารมณ์จึงเป็นทักษะที่สำคัญไม่แพ้การวิเคราะห์ตลาด

  • ระมัดระวัง FOMO (Fear Of Missing Out): อย่ารีบเข้าตลาดเพียงเพราะกลัวว่าจะพลาดโอกาสทำกำไร (ตกรถ) การรอคอยสัญญาณที่ชัดเจนและทำตามแผนเป็นสิ่งสำคัญกว่า
  • หลีกเลี่ยง Revenge Trading: อย่าพยายามกู้คืนเงินที่เสียไปจากการเทรดที่ผิดพลาดด้วยการเปิดออเดอร์ใหญ่ขึ้นหรือถี่ขึ้น การเทรดด้วยอารมณ์โกรธหรือต้องการเอาคืนมักจะนำไปสู่การขาดทุนที่หนักกว่าเดิม
  • ยึดมั่นในแผนการเทรด: เชื่อมั่นในแผนการเทรดของคุณและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด แม้ว่าบางครั้งจะมีการขาดทุนเกิดขึ้นบ้างก็ตาม การเบี่ยงเบนจากแผนมักเป็นจุดเริ่มต้นของความล้มเหลว

จำไว้ว่า เทรดเดอร์มืออาชีพไม่ใช่คนที่เดาถูกทุกครั้ง
แต่คือคนที่ “ควบคุมความเสี่ยงได้ดีที่สุด” และมีวินัยในการปฏิบัติตามแผนการเทรดของตนเอง 🎯

การฝึกฝนบนบัญชีทดลอง (Demo Account) อย่างต่อเนื่อง

ก่อนที่จะนำเงินจริงมาใช้ในการเทรด ควรเริ่มต้นด้วย บัญชีทดลอง (Demo Account) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ล้ำค่าสำหรับนักเทรดทุกคน โดยเฉพาะมือใหม่

  • ทำไมถึงสำคัญ: บัญชีทดลองช่วยให้คุณคุ้นเคยกับแพลตฟอร์มการเทรด เรียนรู้วิธีการเปิดออเดอร์ การตั้งค่า Stop Loss และ Take Profit รวมถึงการทดสอบกลยุทธ์ต่างๆ โดยไม่มีความเสี่ยงทางการเงินใดๆ คุณสามารถเรียนรู้จากความผิดพลาดโดยไม่ต้องเสียเงินจริง
  • ประโยชน์: พัฒนาทักษะการตัดสินใจในสถานการณ์ตลาดจริง สร้างความมั่นใจในการเทรด และปรับปรุงแผนการเทรดของคุณให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอในบัญชีทดลองจะช่วยสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเทรดด้วยเงินจริง

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับการเปิดออเดอร์ Buy/Sell ใน Forex

1. การ Buy และ Sell ใน Forex ต่างจากการซื้อขายหุ้นทั่วไปอย่างไร?

ในตลาดหุ้นทั่วไป การ Buy คือการซื้อหุ้นเพื่อเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของบริษัท และ Sell คือการขายหุ้นที่คุณเป็นเจ้าของไปแล้ว แต่ใน Forex การ Buy คือการคาดการณ์ว่าสกุลเงินหลักจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอ้างอิง ในทางกลับกัน การ Sell คือการคาดการณ์ว่าสกุลเงินหลักจะอ่อนค่าลง โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของสกุลเงินนั้นจริง การเทรด Forex ทำกำไรได้ทั้งขาขึ้น (Buy) และขาลง (Sell) ผ่านการใช้ Leverage ซึ่งเป็นคุณสมบัติเฉพาะของตลาดนี้

2. ควรตั้ง Stop Loss และ Take Profit ที่จุดไหนดีที่สุด?

การตั้ง SL/TP ที่เหมาะสมต้องอาศัยการวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นหลัก โดยทั่วไปมักจะวาง SL ไว้หลังแนวรับ/แนวต้านที่สำคัญ หรือใช้ตัวบ่งชี้เช่น Average True Range (ATR) เพื่อกำหนดระยะที่สอดคล้องกับความผันผวนของตลาด เพื่อให้ราคามีพื้นที่หายใจแต่ยังจำกัดความเสี่ยง ส่วน TP ควรตั้งตามแนวรับ/แนวต้านถัดไป หรือตามอัตราส่วน Risk/Reward (RR Ratio) ที่คุณกำหนดไว้ในแผนการเทรด (เช่น 1:2 หรือ 1:3) การประเมินอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้การตั้งค่าเหล่านี้มีประสิทธิภาพสูงสุด

3. Lot Size มีผลต่อการเทรดอย่างไร และควรเลือกขนาดเท่าไหร่?

Lot Size กำหนดขนาดของออเดอร์ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อมูลค่าต่อ Pip ของการเคลื่อนไหวราคา และส่งผลต่อขนาดของกำไรหรือขาดทุน หาก Lot Size ใหญ่ขึ้น กำไร/ขาดทุนต่อ Pip ก็จะมากขึ้นตามไปด้วย สำหรับมือใหม่ แนะนำให้เริ่มต้นด้วย Micro Lot (0.01 Lot) ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำที่สุด และที่สำคัญที่สุดคือ ไม่ควรเสี่ยงเกิน 1-2% ของเงินทุนในพอร์ตต่อการเทรดแต่ละครั้ง ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของการบริหารเงินทุน

4. สามารถเปลี่ยน Stop Loss/Take Profit หลังจากเปิดออเดอร์ไปแล้วได้หรือไม่?

ได้ คุณสามารถปรับเปลี่ยนระดับ Stop Loss และ Take Profit ได้ตลอดเวลาตราบใดที่ออเดอร์ยังคงเปิดอยู่ อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนบ่อยครั้งอาจส่งผลต่อวินัยการเทรดและแผนการเทรดของคุณ ควรมีเหตุผลที่สมเหตุสมผลในการปรับเปลี่ยน เช่น การเคลื่อนย้าย SL ไปที่จุดคุ้มทุน (Break Even) เมื่อราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ต้องการอย่างมีนัยสำคัญ หรือการปรับ TP ตามเป้าหมายราคาใหม่ที่เกิดจากการวิเคราะห์เพิ่มเติม

5. หากกด Buy/Sell ผิดทาง จะเกิดอะไรขึ้น?

หากคุณเปิดออเดอร์ Buy แล้วราคาลดลง หรือเปิดออเดอร์ Sell แล้วราคาสูงขึ้น ออเดอร์ของคุณจะติดลบ (ขาดทุน) หากคุณได้ตั้ง Stop Loss ไว้ ระบบจะปิดออเดอร์ให้โดยอัตโนมัติเมื่อราคามาถึงจุด SL เพื่อจำกัดการขาดทุนให้อยู่ในระดับที่คุณยอมรับได้ แต่หากไม่ได้ตั้ง SL คุณอาจขาดทุนอย่างต่อเนื่องและเสี่ยงต่อการถูก Margin Call หรือการล้างพอร์ตทั้งหมดได้ ดังนั้น การตั้ง Stop Loss จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการปกป้องเงินทุนของคุณจากการขาดทุนที่ไม่คาดคิด

บทสรุป: กุญแจสู่ความสำเร็จในการเทรด Forex อย่างยั่งยืน

การทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับการเปิดออเดอร์ Buy และ Sell ในตลาด Forex ไม่ใช่เพียงแค่การรู้ว่าปุ่มไหนทำอะไร แต่เป็นการเข้าใจถึงกลไกตลาดที่ซับซ้อน ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และวิธีการบริหารจัดการความเสี่ยงเหล่านั้นอย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้ได้อธิบายแนวคิดพื้นฐานอย่างละเอียด พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงความสำคัญของพารามิเตอร์ต่างๆ เช่น Lot Size, Stop Loss และ Take Profit ซึ่งเป็นเสาหลักของการเทรดอย่างมีวินัยและยั่งยืน

จงจำไว้ว่า ตลาด Forex มีความผันผวนสูงและเต็มไปด้วยทั้งโอกาสและความเสี่ยง การเรียนรู้และฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง การมีแผนการเทรดที่รัดกุม การบริหารเงินทุนที่แข็งแกร่ง และการควบคุมอารมณ์ของคุณ คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้คุณก้าวสู่การเป็นนักเทรด Forex มืออาชีพที่สามารถสร้างผลกำไรได้อย่างสม่ำเสมอและยั่งยืนในระยะยาว

หากคุณมีข้อสงสัยเพิ่มเติมหรือต้องการคำแนะนำส่วนบุคคลเพื่อเริ่มต้นเส้นทางการเทรด Forex ของคุณอย่างมั่นใจและประสบความสำเร็จ อย่าลังเลที่จะติดต่อผู้เชี่ยวชาญของเราเพื่อขอคำปรึกษาและเครื่องมือที่จำเป็น

👉สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม คลิกที่ลิงค์นี้

You Might Also Like

Contact Us on Line