เปิดเผยกลยุทธ์การเทรดด้วยรูปแบบ Bump and Run Pattern: คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับการกลับตัวของแนวโน้ม

ในโลกของการเทรดที่เต็มไปด้วยความผันผวน การทำความเข้าใจและตีความรูปแบบกราฟราคาถือเป็นหนึ่งในทักษะสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถคาดการณ์ทิศทางตลาดได้อย่างแม่นยำ รูปแบบ “Bump and Run Reversal” เป็นหนึ่งในรูปแบบกราฟที่ทรงพลังและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการระบุ การกลับตัวของแนวโน้ม ระยะยาว บทความนี้จะเจาะลึกทุกแง่มุมของรูปแบบ Bump and Run ตั้งแต่ที่มา หลักการระบุ กลยุทธ์การเทรด ไปจนถึงสิ่งที่รูปแบบนี้บอกเราเกี่ยวกับพฤติกรรมของตลาดและผู้เล่นรายใหญ่ เพื่อให้คุณสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการเทรดหุ้น ดัชนี หรือ Forex ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทำความเข้าใจรูปแบบ Bump and Run Pattern อย่างลึกซึ้ง

รูปแบบ Bump and Run Reversal ถูกคิดค้นโดย Thomas Bulkowski ผู้เชี่ยวชาญด้านรูปแบบกราฟและนักเขียนหนังสือด้านการลงทุนชื่อดัง เขาได้ศึกษาโครงสร้างตลาดและพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาอย่างละเอียด เพื่อสร้างแบบจำลองการกลับตัวของแนวโน้มที่สามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์และคาดการณ์ตลาดได้จริง รูปแบบนี้เป็นที่นิยมในหมู่นักเทรดรายย่อยและสถาบัน เนื่องจากความแม่นยำในการบ่งชี้ถึงการสิ้นสุดของแนวโน้มเดิมและการเริ่มต้นของแนวโน้มใหม่ในระยะยาว
ต้นกำเนิดและความสำคัญของรูปแบบ Bump and Run
Thomas Bulkowski ได้ทำการวิเคราะห์รูปแบบกราฟหลายพันรูปแบบและรวบรวมข้อมูลเชิงสถิติเพื่อระบุรูปแบบที่มีประสิทธิภาพ รูปแบบ Bump and Run เกิดขึ้นจากแนวคิดที่ว่าตลาดมักจะมีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ (Bump) ก่อนที่จะเกิดการกลับตัวครั้งใหญ่ (Run) ซึ่งเป็นผลมาจากกิจกรรมของผู้เล่นรายใหญ่ที่พยายาม “เขย่า” หรือ “กำจัด” ผู้ค้ารายย่อยออกจากตลาดก่อนที่พวกเขาจะผลักดันราคาไปในทิศทางตรงกันข้ามอย่างแท้จริง การทำความเข้าใจที่มานี้ช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของ Price Action และจิตวิทยาเบื้องหลังการเคลื่อนไหวของราคาได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
สองเฟสหลัก: Bump Phase และ Run Phase
รูปแบบ Bump and Run ประกอบด้วยสองช่วงเวลาที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งแต่ละช่วงมีลักษณะเฉพาะที่สำคัญต่อการวิเคราะห์:
- Bump Phase (เฟสของการพุ่ง): เป็นช่วงที่ราคาแสดงการเคลื่อนไหวที่รุนแรงและชันขึ้นอย่างผิดปกติ ซึ่งมักจะเบี่ยงเบนออกจากแนวโน้มระยะยาวเดิม
- Run Phase (เฟสของการเคลื่อนที่): เป็นช่วงที่ราคาเกิดการกลับตัวอย่างรุนแรงในทิศทางตรงกันข้ามกับการเคลื่อนไหวใน Bump Phase หลังจากที่ราคาได้ฝ่าแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ
เจาะลึก Bump Phase: สัญญาณแรกของการกลับตัว
Bump Phase คือหัวใจของรูปแบบนี้ เป็นการเคลื่อนไหวของราคาที่บ่งบอกถึงความผิดปกติบางอย่างในตลาด ซึ่งมักจะนำไปสู่การกลับตัวครั้งใหญ่ การทำความเข้าใจ Bump Phase อย่างถ่องแท้จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักเทรด
ลักษณะของ Bump Phase คืออะไร?
Bump Phase คือการที่ราคาเกิดการพุ่งขึ้นหรือดิ่งลงอย่างรวดเร็วและชันกว่าปกติ ซึ่งเกิดขึ้น ณ จุดสิ้นสุดของแนวโน้มเดิม ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลงก็ตาม การเคลื่อนไหวใน Bump Phase เปรียบเสมือน “คลื่นห่าม” ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากแรงซื้อขายตามปกติของนักลงทุนรายย่อย แต่ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากกิจกรรมของ “Smart Money” หรือสถาบันการเงินขนาดใหญ่ที่ต้องการสะสมตำแหน่งหรือทำการหยุดคำสั่งซื้อขาย (Stop Loss Hunt) ของนักลงทุนรายย่อย ทำให้เกิดการเบี่ยงเบนออกจาก เส้นแนวโน้ม หลักอย่างชัดเจน
กฎและหลักการระบุ Bump Phase บนกราฟ

การระบุ Bump Phase บนกราฟอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ:
- การวาดเส้นแนวโน้มเริ่มต้น: เริ่มต้นด้วยการวาด เส้นแนวโน้ม หลัก (Trendline) ที่เชื่อมจุด Highs ที่สูงขึ้น (Higher Highs) หรือ Lows ที่ต่ำลง (Lower Lows) ของแนวโน้มก่อนหน้า ตามหลักการของ Bulkowski เส้นแนวโน้มนี้ควรกำลังทำมุมประมาณ 30 ถึง 45 องศาเมื่อใช้มาตราส่วนลอการิทึมบนกราฟราคา ซึ่งมุมที่เหมาะสมนี้บ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งและเสถียรภาพของแนวโน้มเดิมก่อนที่จะเกิดความผิดปกติ
- จำนวนคลื่นก่อน Bump: เพื่อยืนยันความถูกต้องของรูปแบบ ควรมีคลื่นราคาอย่างน้อย 2-3 คลื่นเคลื่อนไหวตามเส้นแนวโน้มหลักก่อนที่จะเกิด Bump ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีแนวโน้มที่มั่นคงอยู่ก่อนแล้ว
- การเคลื่อนที่ของราคาใน Bump: เมื่อเกิด Bump ราคาจะเริ่มเคลื่อนที่ออกจากเส้นแนวโน้มหลักด้วยความชันที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นสัญญาณของ “การเคลื่อนไหวของราคาที่ผิดพลาด” หรือแรงซื้อขายที่ผิดปกติ นักเทรดสามารถลากเส้นแนวโน้มย่อยบน Bump เพื่อยืนยันการฝ่าวงล้อมของเส้นแนวโน้มหลักนี้ได้
- ขนาดของ Bump: คลื่นใน Bump Phase ควรมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีขนาดใหญ่และรุนแรงกว่าคลื่นราคา 2-3 คลื่นที่เกิดขึ้นก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ บ่งบอกถึงแรงขับเคลื่อนที่ผิดปกติอย่างแท้จริง
เจาะลึก Run Phase: การยืนยันการกลับตัวและทิศทางใหม่
หลังจากที่ตลาดได้ผ่าน Bump Phase และสร้างความผิดปกติของการเคลื่อนไหวราคาแล้ว Run Phase จะเป็นตัวยืนยันการกลับตัวของแนวโน้มอย่างเป็นทางการ และกำหนดทิศทางใหม่ให้กับตลาด
การเริ่มต้นของ Run Phase และการยืนยันการกลับตัว

Run Phase จะเริ่มต้นขึ้นหลังจากที่ราคาได้ทำลาย เส้นแนวโน้ม ย่อยที่ลากคร่อม Bump Phase ลงมาหรือพุ่งขึ้นไป (ขึ้นอยู่กับทิศทางของ Bump) นี่คือสัญญาณแรกของการอ่อนแรงของแรงผลักดันใน Bump และเป็นจุดเริ่มต้นของการกลับตัวของแนวโน้มที่สำคัญในตลาด ในช่วงนี้ราคาจะเริ่มเคลื่อนที่ในทิศทางตรงกันข้ามกับแนวโน้มเดิมอย่างรวดเร็วและรุนแรง โดยมักจะทำลายเส้นแนวโน้มหลักที่ลากไว้ตั้งแต่ก่อนเกิด Bump ด้วย
ผลลัพธ์ของการเคลื่อนที่ใน Run Phase
เมื่อ Run Phase เริ่มต้นขึ้น สิ่งที่เราจะได้เห็นคือการกลับตัวของแนวโน้มที่สำคัญและรุนแรง ราคาจะเคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงกันข้ามอย่างหุนหันพลันแล่น (Impulsive Wave) ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ผู้เล่นรายใหญ่เริ่มเข้าสะสมตำแหน่งในทิศทางใหม่และผู้เล่นรายย่อยที่ติดอยู่ใน Bump Phase เริ่มปิดสถานะ ทำให้แรงซื้อหรือแรงขายท่วมตลาดและผลักดันราคาไปอย่างรวดเร็ว การทำลายเส้นแนวโน้มหลักเป็นเครื่องยืนยันความแข็งแกร่งของการกลับตัว และนักเทรดสามารถใช้ประโยชน์จากคลื่น Impulsive นี้เพื่อทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงทิศทางของตลาด
ประเภทของรูปแบบ Bump and Run: Bullish และ Bearish
รูปแบบ Bump and Run สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในตลาดขาขึ้นและขาลง โดยแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก:
Bullish Bump & Run: โอกาสในการซื้อ
รูปแบบ Bullish Bump & Run บ่งชี้ถึง การกลับตัวของแนวโน้ม จากขาลงเป็นขาขึ้น ในกรณีนี้ Bump Phase จะแสดงการเคลื่อนไหวของราคาที่ดิ่งลงอย่างรุนแรงและผิดปกติในขณะที่แนวโน้มหลักเดิมเป็นขาลง หลังจากที่ราคาได้ฝ่าเส้นแนวโน้มย่อยของ Bump และเส้นแนวโน้มหลัก การกลับตัวเป็นแนวโน้มขาขึ้นจะเกิดขึ้นอย่างชัดเจน โดยที่ Run Phase จะเป็นการเคลื่อนที่ของราคาในทิศทางขาขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าซื้อ
Bearish Bump & Run: โอกาสในการขาย
ในทางตรงกันข้าม รูปแบบ Bearish Bump & Run บ่งชี้ถึง การกลับตัวของแนวโน้ม จากขาขึ้นเป็นขาลง ในรูปแบบนี้ Bump Phase จะแสดงการเคลื่อนไหวของราคาที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงและผิดปกติในขณะที่แนวโน้มหลักเดิมเป็นขาขึ้น หลังจากที่ราคาได้ฝ่าเส้นแนวโน้มย่อยของ Bump และเส้นแนวโน้มหลัก การกลับตัวเป็นแนวโน้มขาลงจะเกิดขึ้นอย่างชัดเจน โดยที่ Run Phase จะเป็นการเคลื่อนที่ของราคาในทิศทางขาลงอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นโอกาสในการเข้าขายทำกำไร
เบื้องหลังรูปแบบ Bump and Run: จิตวิทยาตลาดและพฤติกรรม Smart Money
รูปแบบ Bump and Run ไม่ได้เป็นเพียงแค่เส้นกราฟ แต่เป็นภาพสะท้อนของกิจกรรมของผู้เล่นในตลาดและจิตวิทยาการลงทุนที่ซับซ้อน การทำความเข้าใจเบื้องหลังช่วยให้เราสามารถตีความสัญญาณได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
การอ่านสัญญาณจาก Price Action
รูปแบบนี้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมของนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบัน สมมติว่าแนวโน้มก่อนหน้าของรูปแบบ Bump & Run เป็นขาขึ้น ราคาได้สร้างคลื่นขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหมายความว่าแรงซื้อมีอิทธิพลเหนือแรงขายอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิด Bump ขึ้นอย่างกะทันหันและรุนแรง นั่นหมายความว่าราคาได้เคลื่อนที่ไปเป็นจำนวนมากภายในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งการเคลื่อนไหวลักษณะนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากกิจกรรมของนักเทรดรายย่อยเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากผู้ค้ารายใหญ่และสถาบันที่มีกำลังมากพอที่จะผลักดันตลาด
บทบาทของสถาบันและผู้ค้ารายใหญ่
การเคลื่อนไหวแบบ Bump คือวิธีการที่ผู้ค้ารายใหญ่ใช้ในการ “กำจัด” หรือ “เขย่า” นักเทรดรายย่อยที่เปิดสถานะในทิศทางเดียวกับแนวโน้มเดิม พวกเขาจะผลักดันราคาให้พ้นระดับที่นักเทรดรายย่อยส่วนใหญ่ตั้ง Stop Loss ไว้ ทำให้คำสั่ง Stop Loss เหล่านั้นทำงานและเป็นการสร้างสภาพคล่องที่จำเป็นสำหรับการกลับตัวของแนวโน้มครั้งใหญ่ เมื่อนักเทรดรายย่อยถูกบังคับให้ออกจากตลาด ผู้ค้ารายใหญ่ก็จะเข้าสะสมตำแหน่งในทิศทางตรงกันข้ามอย่างเต็มที่ ทำให้เกิด Run Phase และการกลับตัวของแนวโน้มอย่างมีนัยสำคัญ การเข้าใจกลไกนี้ช่วยให้เราสามารถเทรดตามรอย Smart Money ได้อย่างชาญฉลาด
กลยุทธ์การเทรด Bump and Run Pattern อย่างมีประสิทธิภาพ

การเทรดรูปแบบ Bump and Run มีหลักการที่ค่อนข้างตรงไปตรงมา แต่ต้องอาศัยวินัยและการบริหาร ความเสี่ยง ที่ดี นักเทรดสามารถเลือกใช้กลยุทธ์การเข้าเทรดได้สองวิธีหลัก
หลักการเข้าเทรด: การฝ่าแนวโน้ม
หัวใจสำคัญของการเข้าเทรดรูปแบบนี้คือการรอสัญญาณการฝ่าแนวโน้มที่ชัดเจน ซึ่งจะเป็นการยืนยันการสิ้นสุดของ Bump Phase และการเริ่มต้นของ Run Phase
วิธีที่ 1: การเข้าเทรดหลังการฝ่าเส้นแนวโน้มย่อยของ Bump
กลยุทธ์นี้คือการเข้าเปิดคำสั่งซื้อขายทันทีหลังจากที่ราคาได้ทำลาย เส้นแนวโน้ม ย่อยที่ลากคร่อม Bump Phase ข้อดีของวิธีนี้คือคุณจะได้เข้าสู่ตลาดค่อนข้างเร็ว ทำให้มีโอกาสทำกำไรได้มากหากการกลับตัวเป็นไปอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม ข้อเสียคือ ความเสี่ยง อาจจะสูงกว่า เนื่องจากเป็นการเข้าเทรดที่ยังไม่ได้รับการยืนยันการกลับตัวของแนวโน้มหลักอย่างสมบูรณ์ และอาจมีการกลับตัวที่ล้มเหลวได้ หากคุณเลือกวิธีนี้ ควรใช้ขนาดคำสั่งที่เหมาะสมและตั้ง Stop Loss อย่างรัดกุม
วิธีที่ 2: การเข้าเทรดหลังการฝ่าเส้นแนวโน้มหลัก
วิธีนี้คือการรอให้ราคาทำลาย เส้นแนวโน้ม หลักที่ลากไว้ตั้งแต่ก่อนเกิด Bump Phase เสียก่อน จึงค่อยเข้าเปิดคำสั่งซื้อขาย วิธีนี้มีความน่าเชื่อถือสูงกว่า เนื่องจากเป็นการยืนยันการกลับตัวของแนวโน้มหลักอย่างชัดเจน ทำให้ความเสี่ยงในการถูกหลอกน้อยลง แต่ผลตอบแทนที่อาจได้รับอาจไม่สูงเท่ากับวิธีแรก เพราะพลาดโอกาสในการเข้าทำกำไรในช่วงเริ่มต้นของการกลับตัวไปบ้าง สำหรับนักเทรดที่เน้นความปลอดภัยและอัตราความสำเร็จที่สูงขึ้น วิธีที่สองนี้จึงเป็นที่แนะนำอย่างยิ่ง แม้ว่าอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk-to-Reward Ratio) อาจจะไม่หวือหวาเท่า แต่ความมั่นใจในการเทรดจะเพิ่มขึ้น
การตั้งค่า Stop Loss และ Take Profit
- การตั้ง Stop Loss:
- สำหรับ Bullish Bump & Run: ควรวาง Stop Loss ไว้ใต้จุดต่ำสุด (Low) ของ Bump Phase เล็กน้อย หรือใต้จุด Swing Low ที่สำคัญที่สุดก่อนการกลับตัว เพื่อป้องกันความเสี่ยงหากราคาเกิดการเคลื่อนไหวผิดทิศทาง
- สำหรับ Bearish Bump & Run: ควรวาง Stop Loss ไว้เหนือจุดสูงสุด (High) ของ Bump Phase เล็กน้อย หรือเหนือจุด Swing High ที่สำคัญที่สุดก่อนการกลับตัว เพื่อจำกัดการขาดทุน
- การตั้ง Take Profit:
- สามารถตั้งเป้าหมายกำไรโดยใช้เครื่องมือ Fibonacci Retracement/Extension, ระดับแนวรับ/แนวต้านที่สำคัญในอดีต หรือใช้การวัดระยะทางของ Bump Phase และโปรเจคเข้าไปในทิศทางของ Run Phase
- ควรพิจารณาอัตราส่วน ความเสี่ยง ต่อผลตอบแทน (Risk-to-Reward Ratio) ที่เหมาะสม เช่น 1:2 หรือ 1:3 เป็นอย่างน้อย เพื่อให้การเทรดมีความคุ้มค่า
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
- รูปแบบ Bump and Run เหมาะกับตลาดใดบ้าง?
- รูปแบบ Bump and Run สามารถใช้ได้กับตลาดการเงินหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น ดัชนี หรือ Forex ซึ่งเป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูง อย่างไรก็ตาม รูปแบบนี้มักจะมีประสิทธิภาพมากที่สุดใน Timeframe ที่สูงขึ้น เช่น Daily หรือ Weekly Chart เนื่องจากเป็นการบ่งชี้ การกลับตัวของแนวโน้ม ระยะยาว
- Bump and Run แตกต่างจากรูปแบบการกลับตัวอื่น ๆ อย่างไร?
- ความแตกต่างที่สำคัญของ Bump and Run คือการมี “Bump Phase” ที่เป็นการเคลื่อนไหวราคาที่รุนแรงและผิดปกติอย่างชัดเจน ซึ่งมักจะเกิดจากการกระทำของ Smart Money เพื่อ “เขย่า” ผู้ค้ารายย่อยออกจากตลาด ก่อนที่จะเกิดการกลับตัวครั้งใหญ่จริงจัง ซึ่งแตกต่างจากรูปแบบการกลับตัวอื่นๆ เช่น Head and Shoulders หรือ Double Top/Bottom ที่มักจะมีการเคลื่อนไหวที่ค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า
- ควรใช้ Timeframe ใดในการระบุรูปแบบนี้?
- แม้ว่ารูปแบบ Bump and Run จะสามารถพบได้ในทุก Timeframe แต่เพื่อความน่าเชื่อถือและความแม่นยำสูงสุด ขอแนะนำให้ใช้ Timeframe ที่ใหญ่ขึ้น เช่น กราฟรายวัน (Daily Chart) หรือรายสัปดาห์ (Weekly Chart) การวิเคราะห์ใน Timeframe ที่ใหญ่จะช่วยลดสัญญาณรบกวนและยืนยัน การกลับตัวของแนวโน้ม ที่แข็งแกร่งได้ดียิ่งขึ้น
- ปัจจัยใดบ้างที่ควรพิจารณาร่วมนอกเหนือจากรูปแบบ Bump and Run?
- เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการเทรด ควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ปริมาณการซื้อขาย (Volume) ที่มักจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง Bump และลดลงเมื่อราคาเริ่มกลับตัวใน Run Phase (ยกเว้นในตลาด Forex ที่ใช้ Tick Volume ซึ่งอาจแตกต่างกัน) นอกจากนี้ การวิเคราะห์เครื่องมือทางเทคนิคอื่นๆ เช่น Indicators หรือ แนวรับแนวต้าน ที่สำคัญ ก็สามารถช่วยเสริมการตัดสินใจได้
- รูปแบบ Bump and Run มีข้อจำกัดหรือความเสี่ยงอะไรบ้าง?
- เช่นเดียวกับรูปแบบกราฟอื่นๆ Bump and Run ไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบเสมอไป ข้อจำกัดคือรูปแบบนี้เป็นรูปแบบที่ค่อนข้างหายาก และอาจมีการเคลื่อนไหวที่ดูเหมือน Bump แต่ไม่เกิดการกลับตัวจริง (False Breakout) ได้ นอกจากนี้ การระบุ เส้นแนวโน้ม และมุมของ Bump ที่ถูกต้องก็ต้องอาศัยประสบการณ์และความชำนาญ ดังนั้น การบริหาร ความเสี่ยง และการตั้ง Stop Loss จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
สรุป
รูปแบบ Bump and Run Reversal Pattern เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับนักเทรดที่ต้องการคาดการณ์ การกลับตัวของแนวโน้ม ระยะยาว การทำความเข้าใจแต่ละเฟสอย่างละเอียด ตั้งแต่ Bump Phase ที่บ่งบอกถึงความผิดปกติของตลาด ไปจนถึง Run Phase ที่ยืนยันการกลับตัว จะช่วยให้นักเทรดสามารถอ่าน Price Action และจิตวิทยาเบื้องหลังการเคลื่อนไหวของราคาได้อย่างลึกซึ้ง
แม้ว่ารูปแบบนี้จะเป็นการตั้งค่าการเทรดที่มีความเป็นไปได้สูง แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการฝึกฝนและ Backtest อย่างสม่ำเสมอในบัญชีทดลองก่อนที่จะนำไปใช้กับบัญชีจริง การเพิ่มปัจจัยประกอบอื่นๆ เช่น Volume (ยกเว้น Tick Volume ใน Forex) และการบริหาร ความเสี่ยง อย่างมีวินัย จะช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในการเทรดรูปแบบ Bump and Run Pattern ได้อย่างยั่งยืน


