TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
แจก EA & อินดิเคเตอร์

รูปแบบแท่งเทียน Bullish vs Bearish

กันยายน 24, 2024

Ultimate Guide: ทำความเข้าใจรูปแบบแท่งเทียน Bullish และ Bearish เพื่อการเทรดที่เหนือกว่า

Introduction:

ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อตัดสินใจซื้อขายในตลาดการเงิน รูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns) ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจากเทรดเดอร์ทั่วโลก แท่งเทียนแต่ละแท่งไม่เพียงแค่แสดงข้อมูลราคาเปิด ปิด สูงสุด และต่ำสุดในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงอารมณ์และแรงผลักดันระหว่างผู้ซื้อ (Bullish) และผู้ขาย (Bearish) ในตลาดได้อย่างชัดเจน การทำความเข้าใจความหมายและนัยยะของรูปแบบแท่งเทียนเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถคาดการณ์แนวโน้มราคาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และวางแผนกลยุทธ์การเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น บทความนี้จะนำเสนอ “Ultimate Guide” ในการเจาะลึกรูปแบบแท่งเทียน Bullish และ Bearish ที่สำคัญ โดยอธิบายถึงลักษณะ การก่อตัว นัยยะทางจิตวิทยาของตลาด และเคล็ดลับการนำไปใช้ในการเทรด เพื่อให้ท่านสามารถยกระดับความเข้าใจและเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจลงทุนได้อย่างมืออาชีพ

รูปแบบแท่งเทียน Bullish vs Bearish

ทำความรู้จักกับรูปแบบแท่งเทียน Bullish (ตลาดขาขึ้น)

รูปแบบแท่งเทียน Bullish หรือแท่งเทียนขาขึ้น บ่งชี้ถึงแรงซื้อที่เข้ามาในตลาดอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ราคามีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น มักปรากฏที่จุดต่ำสุดของแนวโน้มขาลง (Downtrend) หรือระหว่างช่วงพักตัวในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) เพื่อยืนยันการเคลื่อนไหวของราคาต่อไป การเข้าใจรูปแบบเหล่านี้จะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถหาจังหวะเข้าซื้อในจุดที่ได้เปรียบ

1. รูปแบบ Bullish Rails (แท่งเทียนคู่กลับตัวขาขึ้น)

  • คืออะไร: รูปแบบ Bullish Rails เป็นรูปแบบการกลับตัวที่ประกอบด้วยแท่งเทียน 2 แท่งที่มีขนาดตัวแท่ง (Real Body) ใกล้เคียงกัน แท่งแรกเป็นแท่งสีแดง (Bearish) ตามด้วยแท่งที่สองที่เป็นสีเขียว (Bullish) โดยที่ราคาสูงสุดและต่ำสุดของทั้งสองแท่งมักจะอยู่ใกล้เคียงกัน หรือแท่งที่สองมีราคาเปิดและปิดครอบคลุมแท่งแรกเล็กน้อย
  • ทำไมจึงก่อตัว: รูปแบบนี้แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงโมเมนตัมจากแรงขายที่เคยครองตลาด (แท่งแดง) ไปสู่แรงซื้อที่เริ่มเข้ามาอย่างแข็งแกร่ง (แท่งเขียว) ซึ่งสามารถเอาชนะแรงขายเดิมได้
  • วิธีการระบุ: มองหาแท่งแดงขนาดใหญ่หรือปานกลาง ตามด้วยแท่งเขียวที่มีขนาดใกล้เคียงกัน เปิดต่ำกว่าหรือใกล้เคียงราคาปิดของแท่งแดง และปิดสูงกว่าหรือใกล้เคียงราคาเปิดของแท่งแดง โดยทั้งคู่มีช่วงราคาใกล้เคียงกัน
  • นัยยะที่สำคัญ: บ่งบอกถึงการกลับตัวของแนวโน้มจากขาลงเป็นขาขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อปรากฏที่แนวรับสำคัญ แนวรับ
  • เคล็ดลับการเทรด:
    • ยืนยันสัญญาณด้วย Volume ที่เพิ่มขึ้นในแท่งเขียว
    • เข้าซื้อเมื่อแท่งเทียนถัดไปปิดยืนยันเหนือราคาสูงสุดของรูปแบบ
    • ตั้งจุด Stop Loss ต่ำกว่าราคาต่ำสุดของรูปแบบ
  • ผลลัพธ์: หากรูปแบบนี้ได้รับการยืนยัน มักจะตามมาด้วยการปรับตัวขึ้นของราคาอย่างน้อยในระยะสั้นถึงกลาง
  • ถ้า…จะเป็นอย่างไร: หากแท่งเทียนถัดไปไม่สามารถทำราคาสูงขึ้น หรือกลับไปปิดต่ำกว่ารูปแบบ อาจเป็นสัญญาณหลอก หรือแรงซื้อยังไม่แข็งแกร่งพอ

2. รูปแบบ Three White Soldiers (สามทหารขาว)

  • คืออะไร: เป็นรูปแบบกลับตัวหรือต่อเนื่องที่แข็งแกร่ง ประกอบด้วยแท่งเทียนสีเขียว (Bullish) 3 แท่งติดต่อกัน แต่ละแท่งมีราคาปิดสูงกว่าราคาปิดของแท่งก่อนหน้า และมีราคาเปิดอยู่ภายในตัวแท่งของแท่งก่อนหน้า โดยมีไส้เทียนสั้นหรือไม่มีเลย
  • ทำไมจึงก่อตัว: สะท้อนถึงการเข้ามาของแรงซื้อที่ต่อเนื่องและแข็งแกร่งอย่างไม่หยุดยั้ง บ่งชี้ว่าผู้ซื้อกำลังควบคุมตลาดได้อย่างสมบูรณ์
  • วิธีการระบุ:
    • แท่งเทียน 3 แท่งเป็นสีเขียวทั้งหมด
    • แต่ละแท่งเปิดภายในตัวแท่งของแท่งก่อนหน้า แต่ปิดสูงกว่าแท่งก่อนหน้า
    • ตัวแท่งควรมีขนาดใหญ่และมีไส้เทียนสั้น
  • นัยยะที่สำคัญ: เป็นสัญญาณของการเริ่มต้นแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง หรือการต่อเนื่องของแนวโน้มขาขึ้นเดิมที่กำลังจะเร่งตัว
  • เคล็ดลับการเทรด:
    • พิจารณาเข้าซื้อเมื่อเห็นรูปแบบนี้เกิดขึ้น โดยเฉพาะหลังจากแนวโน้มขาลงสิ้นสุดลง
    • ตั้งจุด Stop Loss ต่ำกว่าราคาต่ำสุดของแท่งแรกในรูปแบบ
    • สามารถใช้ร่วมกับ Moving Average เพื่อยืนยันแนวโน้ม
  • ผลลัพธ์: มักนำไปสู่การปรับตัวขึ้นของราคาอย่างมีนัยสำคัญและต่อเนื่อง
  • ถ้า…จะเป็นอย่างไร: หากแท่งที่สามมีขนาดเล็กมาก หรือมีไส้เทียนด้านบนยาว อาจบ่งบอกถึงแรงซื้อที่เริ่มอ่อนแรงลง ควรระมัดระวัง

3. รูปแบบ Mat Hold (พักฐานก่อนขึ้นต่อ)

  • คืออะไร: รูปแบบต่อเนื่องของแนวโน้มขาขึ้น ประกอบด้วยแท่งเขียวขนาดใหญ่ ตามด้วยแท่งแดงเล็กๆ 3-4 แท่งที่อยู่ในช่วงของแท่งเขียวแรก และปิดท้ายด้วยแท่งเขียวขนาดใหญ่อีกครั้งที่ปิดสูงกว่าราคาปิดของแท่งเขียวแรก
  • ทำไมจึงก่อตัว: แสดงถึงการพักตัวของราคาในแนวโน้มขาขึ้น แรงขายเข้ามาบ้างเล็กน้อย แต่ไม่สามารถผลักดันราคาให้ต่ำลงมากได้ และแรงซื้อก็กลับมาควบคุมตลาดอีกครั้ง
  • วิธีการระบุ:
    • แท่งแรก: Bullish (เขียว) ขนาดใหญ่
    • แท่ง 2-4: Bearish (แดง) ขนาดเล็ก อยู่ในช่วงราคาของแท่งแรก
    • แท่งสุดท้าย: Bullish (เขียว) ขนาดใหญ่ ปิดสูงกว่าราคาปิดของแท่งแรก
  • นัยยะที่สำคัญ: เป็นสัญญาณยืนยันว่าแนวโน้มขาขึ้นจะดำเนินต่อไปหลังจากการพักฐานสั้นๆ เป็นโอกาสที่ดีในการเข้าซื้อหรือเพิ่มสถานะ
  • เคล็ดลับการเทรด:
    • เข้าซื้อเมื่อแท่งเขียวสุดท้ายปิดยืนยันเหนือราคาสูงสุดของรูปแบบ
    • ตั้งจุด Stop Loss ต่ำกว่าราคาต่ำสุดของแท่งแดงที่ต่ำที่สุดในรูปแบบ
  • ผลลัพธ์: มักจะนำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีโมเมนตัม
  • ถ้า…จะเป็นอย่างไร: หากแท่งแดงมีขนาดใหญ่เกินไป หรือแท่งเขียวสุดท้ายไม่สามารถปิดเหนือแท่งแรกได้ อาจไม่ใช่รูปแบบ Mat Hold และแนวโน้มอาจมีการเปลี่ยนแปลง

4. รูปแบบ Bullish Pinbar (แท่งเทียนไส้ยาวขาขึ้น)

  • คืออะไร: รูปแบบแท่งเทียนเดี่ยวที่มีไส้เทียนด้านล่างยาวมาก (Lower Shadow) และมีตัวแท่ง (Real Body) สั้นๆ อยู่บริเวณส่วนบนของแท่งเทียน บ่งบอกถึงการปฏิเสธราคาที่ต่ำลง
  • ทำไมจึงก่อตัว: ในช่วงเวลาหนึ่ง ผู้ขายพยายามผลักดันราคาลงไปอย่างรุนแรง แต่ในที่สุดผู้ซื้อก็สามารถดันราคาขึ้นมาปิดใกล้เคียงกับราคาเปิดหรือสูงกว่าได้ แสดงถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่งที่เข้ามาต่อสู้และเอาชนะแรงขายได้
  • วิธีการระบุ:
    • ไส้เทียนด้านล่างยาวอย่างน้อย 2-3 เท่าของตัวแท่ง
    • ตัวแท่งสั้น อยู่บริเวณ 1 ใน 3 ส่วนบนของแท่งเทียน
    • ไส้เทียนด้านบนสั้นมากหรือไม่มีเลย
    • ปรากฏที่ แนวรับ หรือจุดกลับตัว
  • นัยยะที่สำคัญ: เป็นสัญญาณการกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้นที่เชื่อถือได้ โดยเฉพาะเมื่อปรากฏที่แนวรับที่แข็งแกร่ง ประเภทของ Pin Bar
  • เคล็ดลับการเทรด:
    • เข้าซื้อเมื่อแท่งถัดไปปิดเหนือราคาสูงสุดของ Pinbar
    • ตั้งจุด Stop Loss ต่ำกว่าไส้เทียนด้านล่างของ Pinbar เล็กน้อย
    • ใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่นๆ เช่น RSI หรือ Stochastic เพื่อยืนยันสัญญาณ
  • ผลลัพธ์: มักนำไปสู่การดีดตัวของราคาขึ้นอย่างรวดเร็วและมีโมเมนตัม
  • ถ้า…จะเป็นอย่างไร: หากไส้เทียนด้านล่างไม่ยาวมากพอ หรือตัวแท่งมีขนาดใหญ่เกินไป อาจไม่ถือเป็น Pinbar ที่มีนัยสำคัญ

5. รูปแบบ Bullish Engulfing (แท่งเทียนกลืนกินขาขึ้น)

  • คืออะไร: รูปแบบกลับตัวที่แข็งแกร่ง ประกอบด้วยแท่งเทียน 2 แท่ง แท่งแรกเป็นสีแดงขนาดเล็ก และแท่งที่สองเป็นสีเขียวขนาดใหญ่ที่ “กลืนกิน” ตัวแท่งของแท่งแรกได้อย่างสมบูรณ์
  • ทำไมจึงก่อตัว: แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของความเชื่อมั่นในตลาด จากแรงขายที่เคยควบคุมอยู่ถูกกลืนกินโดยแรงซื้อที่เข้ามาอย่างมหาศาล
  • วิธีการระบุ:
    • แท่งแรก: Bearish (แดง) ขนาดเล็ก
    • แท่งที่สอง: Bullish (เขียว) ขนาดใหญ่ ราคาเปิดต่ำกว่าราคาปิดของแท่งแรก และราคาปิดสูงกว่าราคาเปิดของแท่งแรก
    • ตัวแท่งของแท่งที่สองควรครอบคลุมตัวแท่งของแท่งแรกทั้งหมด
  • นัยยะที่สำคัญ: เป็นสัญญาณการกลับตัวจากแนวโน้มขาลงเป็นขาขึ้นที่ชัดเจนและมีพลังสูง บ่งบอกถึงการเข้ามาควบคุมตลาดของฝ่ายผู้ซื้ออย่างเด็ดขาด
  • เคล็ดลับการเทรด:
    • เข้าซื้อเมื่อแท่งเขียวปิดสมบูรณ์และยืนยันการกลืนกิน
    • ตั้งจุด Stop Loss ต่ำกว่าราคาต่ำสุดของแท่งเขียวที่กลืนกิน
    • ควรปรากฏหลังจากแนวโน้มขาลงที่ชัดเจน
  • ผลลัพธ์: มักนำไปสู่การปรับตัวขึ้นของราคาอย่างมีนัยสำคัญ
  • ถ้า…จะเป็นอย่างไร: หากแท่งเขียวไม่สามารถกลืนกินแท่งแดงได้อย่างสมบูรณ์ หรือแท่งแดงมีขนาดใหญ่มากเกินไป ประสิทธิภาพของสัญญาณจะลดลง

6. รูปแบบ Bullish Harami (หญิงตั้งครรภ์ขาขึ้น)

  • คืออะไร: รูปแบบกลับตัว ประกอบด้วยแท่งเทียน 2 แท่ง แท่งแรกเป็นสีแดงขนาดใหญ่ และแท่งที่สองเป็นสีเขียวขนาดเล็กที่อยู่ภายในตัวแท่งของแท่งแรก คล้ายกับหญิงตั้งครรภ์
  • ทำไมจึงก่อตัว: แสดงถึงการชะลอตัวของแรงขายหลังจากที่เคยรุนแรงมาแล้ว (แท่งแดงใหญ่) และมีแรงซื้อเข้ามาเล็กน้อยแต่ไม่มากพอที่จะผลักดันราคาออกนอกช่วงของแท่งแรก บ่งบอกถึงความไม่แน่นอนและแนวโน้มที่อาจจะกลับตัว
  • วิธีการระบุ:
    • แท่งแรก: Bearish (แดง) ขนาดใหญ่
    • แท่งที่สอง: Bullish (เขียว) ขนาดเล็ก เปิดและปิดอยู่ภายในช่วงของตัวแท่งแดงแรก
  • นัยยะที่สำคัญ: เป็นสัญญาณเตือนถึงความเป็นไปได้ของการกลับตัวจากแนวโน้มขาลงเป็นขาขึ้น แต่ไม่แข็งแกร่งเท่า Engulfing ควรมีการยืนยันจากแท่งถัดไป
  • เคล็ดลับการเทรด:
    • รอการยืนยันด้วยแท่งเทียนขาขึ้นขนาดใหญ่ในแท่งถัดไปก่อนเข้าซื้อ
    • ตั้งจุด Stop Loss ต่ำกว่าราคาต่ำสุดของแท่งแดงแรก
  • ผลลัพธ์: หากได้รับการยืนยัน อาจเห็นการปรับตัวขึ้นของราคา แต่โมเมนตัมอาจไม่รุนแรงเท่า Engulfing
  • ถ้า…จะเป็นอย่างไร: หากแท่งถัดไปเป็นแท่งแดง หรือไม่สามารถขึ้นไปทำราคาสูงได้ รูปแบบนี้อาจเป็นสัญญาณหลอก หรือแนวโน้มยังคงเป็นขาลง

7. รูปแบบ Morning Star (ดาวรุ่งยามเช้า)

  • คืออะไร: รูปแบบกลับตัวขาขึ้นที่แข็งแกร่ง ประกอบด้วยแท่งเทียน 3 แท่ง แท่งแรกเป็นสีแดงขนาดใหญ่ ตามด้วยแท่งเทียนขนาดเล็ก (อาจเป็นเขียวหรือแดง หรือ Doji) ที่มี Gap ลงมา และปิดท้ายด้วยแท่งเขียวขนาดใหญ่ที่ Gap ขึ้นไปหรือปิดสูงในตัวแท่ง
  • ทำไมจึงก่อตัว: แสดงถึงการเปลี่ยนผ่านจากแนวโน้มขาลงอย่างชัดเจน:
    1. แท่งแรก (แดงใหญ่): ผู้ขายยังคงควบคุมตลาด
    2. แท่งกลาง (เล็ก/Doji): ตลาดเริ่มลังเล แรงขายหมดลง แรงซื้อเริ่มเข้ามา แต่ยังไม่มีฝ่ายใดชนะ
    3. แท่งที่สาม (เขียวใหญ่): ผู้ซื้อเข้าควบคุมตลาดอย่างเต็มตัวและผลักดันราคาขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
  • วิธีการระบุ:
    • แท่งแรก: Bearish (แดง) ขนาดใหญ่
    • แท่งที่สอง: ตัวแท่งขนาดเล็ก (อาจเป็นสีเขียว แดง หรือ Doji) ที่มี Gap เปิดต่ำกว่าแท่งแรก
    • แท่งที่สาม: Bullish (เขียว) ขนาดใหญ่ ราคาเปิดสูงกว่าแท่งกลาง และราคาปิดเข้าสู่ช่วงตัวแท่งของแท่งแรก
  • นัยยะที่สำคัญ: เป็นสัญญาณการกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้นที่เชื่อถือได้สูง บ่งบอกถึงการสิ้นสุดของแรงขายและเริ่มต้นของแรงซื้ออย่างมีนัยสำคัญ
  • เคล็ดลับการเทรด:
    • เข้าซื้อเมื่อแท่งเขียวสุดท้ายปิดสมบูรณ์
    • ตั้งจุด Stop Loss ต่ำกว่าราคาต่ำสุดของแท่งกลาง
    • เป็นรูปแบบที่ควรให้ความสำคัญเมื่อปรากฏที่แนวรับที่แข็งแกร่ง
  • ผลลัพธ์: มักนำไปสู่การปรับตัวขึ้นของราคาที่แข็งแกร่งและยั่งยืน
  • ถ้า…จะเป็นอย่างไร: หากแท่งกลางมีขนาดใหญ่เกินไป หรือแท่งที่สามไม่สามารถปิดสูงขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ รูปแบบอาจจะอ่อนแอลง

ทำความรู้จักกับรูปแบบแท่งเทียน Bearish (ตลาดขาลง)

รูปแบบแท่งเทียน Bearish หรือแท่งเทียนขาลง บ่งชี้ถึงแรงขายที่เข้ามาในตลาดอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ราคามีแนวโน้มที่จะปรับตัวต่ำลง มักปรากฏที่จุดสูงสุดของแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) หรือระหว่างช่วงพักตัวในแนวโน้มขาลง (Downtrend) เพื่อยืนยันการเคลื่อนไหวของราคาต่อไป การเข้าใจรูปแบบเหล่านี้จะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถหาจังหวะเข้าขาย (Short Sell) ในจุดที่ได้เปรียบ

1. รูปแบบ Bearish Rails (แท่งเทียนคู่กลับตัวขาลง)

  • คืออะไร: ตรงข้ามกับ Bullish Rails ประกอบด้วยแท่งเทียน 2 แท่งที่มีขนาดตัวแท่งใกล้เคียงกัน แท่งแรกเป็นแท่งสีเขียว (Bullish) ตามด้วยแท่งที่สองที่เป็นสีแดง (Bearish) โดยราคาสูงสุดและต่ำสุดของทั้งสองแท่งมักจะอยู่ใกล้เคียงกัน
  • ทำไมจึงก่อตัว: แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงโมเมนตัมจากแรงซื้อที่เคยครองตลาด (แท่งเขียว) ไปสู่แรงขายที่เริ่มเข้ามาอย่างแข็งแกร่ง (แท่งแดง) ซึ่งสามารถเอาชนะแรงซื้อเดิมได้
  • วิธีการระบุ: มองหาแท่งเขียวขนาดใหญ่หรือปานกลาง ตามด้วยแท่งแดงที่มีขนาดใกล้เคียงกัน เปิดสูงกว่าหรือใกล้เคียงราคาปิดของแท่งเขียว และปิดต่ำกว่าหรือใกล้เคียงราคาเปิดของแท่งเขียว โดยทั้งคู่มีช่วงราคาใกล้เคียงกัน
  • นัยยะที่สำคัญ: บ่งบอกถึงการกลับตัวของแนวโน้มจากขาขึ้นเป็นขาลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อปรากฏที่ แนวต้าน สำคัญ
  • เคล็ดลับการเทรด:
    • ยืนยันสัญญาณด้วย Volume ที่เพิ่มขึ้นในแท่งแดง
    • เข้าขายเมื่อแท่งเทียนถัดไปปิดยืนยันต่ำกว่าราคาต่ำสุดของรูปแบบ
    • ตั้งจุด Stop Loss สูงกว่าราคา candlestick ของรูปแบบ
  • ผลลัพธ์: หากรูปแบบนี้ได้รับการยืนยัน มักจะตามมาด้วยการปรับตัวลงของราคาอย่างน้อยในระยะสั้นถึงกลาง
  • ถ้า…จะเป็นอย่างไร: หากแท่งเทียนถัดไปไม่สามารถทำราคาต่ำลง หรือกลับไปปิดสูงกว่ารูปแบบ อาจเป็นสัญญาณหลอก

2. รูปแบบ Three Black Crows (สามกาที่ดำมืด)

  • คืออะไร: เป็นรูปแบบกลับตัวหรือต่อเนื่องที่แข็งแกร่ง ตรงข้ามกับ Three White Soldiers ประกอบด้วยแท่งเทียนสีแดง (Bearish) 3 แท่งติดต่อกัน แต่ละแท่งมีราคาปิดต่ำกว่าราคาปิดของแท่งก่อนหน้า และมีราคาเปิดอยู่ภายในตัวแท่งของแท่งก่อนหน้า โดยมีไส้เทียนสั้นหรือไม่มีเลย
  • ทำไมจึงก่อตัว: สะท้อนถึงการเข้ามาของแรงขายที่ต่อเนื่องและแข็งแกร่งอย่างไม่หยุดยั้ง บ่งชี้ว่าผู้ขายกำลังควบคุมตลาดได้อย่างสมบูรณ์
  • วิธีการระบุ:
    • แท่งเทียน 3 แท่งเป็นสีแดงทั้งหมด
    • แต่ละแท่งเปิดภายในตัวแท่งของแท่งก่อนหน้า แต่ปิดต่ำกว่าแท่งก่อนหน้า
    • ตัวแท่งควรมีขนาดใหญ่และมีไส้เทียนสั้น
  • นัยยะที่สำคัญ: เป็นสัญญาณของการเริ่มต้นแนวโน้มขาลงที่แข็งแกร่ง หรือการต่อเนื่องของแนวโน้มขาลงเดิมที่กำลังจะเร่งตัว รูปแบบแท่งเทียน Three Black Crows
  • เคล็ดลับการเทรด:
    • พิจารณาเข้าขายเมื่อเห็นรูปแบบนี้เกิดขึ้น โดยเฉพาะหลังจากแนวโน้มขาขึ้นสิ้นสุดลง
    • ตั้งจุด Stop Loss สูงกว่าราคา candlestick ของแท่งแรกในรูปแบบ
  • ผลลัพธ์: มักนำไปสู่การปรับตัวลงของราคาอย่างมีนัยสำคัญและต่อเนื่อง
  • ถ้า…จะเป็นอย่างไร: หากแท่งที่สามมีขนาดเล็กมาก หรือมีไส้เทียนด้านล่างยาว อาจบ่งบอกถึงแรงขายที่เริ่มอ่อนแรงลง ควรระมัดระวัง

3. รูปแบบ Bearish Mat Hold (พักฐานก่อนลงต่อ)

  • คืออะไร: รูปแบบต่อเนื่องของแนวโน้มขาลง ตรงข้ามกับ Bullish Mat Hold ประกอบด้วยแท่งแดงขนาดใหญ่ ตามด้วยแท่งเขียวเล็กๆ 3-4 แท่งที่อยู่ในช่วงของแท่งแดงแรก และปิดท้ายด้วยแท่งแดงขนาดใหญ่อีกครั้งที่ปิดต่ำกว่าราคาปิดของแท่งแดงแรก
  • ทำไมจึงก่อตัว: แสดงถึงการพักตัวของราคาในแนวโน้มขาลง แรงซื้อเข้ามาบ้างเล็กน้อย แต่ไม่สามารถผลักดันราคาให้สูงขึ้นมากได้ และแรงขายก็กลับมาควบคุมตลาดอีกครั้ง
  • วิธีการระบุ:
    • แท่งแรก: Bearish (แดง) ขนาดใหญ่
    • แท่ง 2-4: Bullish (เขียว) ขนาดเล็ก อยู่ในช่วงราคาของแท่งแรก
    • แท่งสุดท้าย: Bearish (แดง) ขนาดใหญ่ ปิดต่ำกว่าราคาปิดของแท่งแรก
  • นัยยะที่สำคัญ: เป็นสัญญาณยืนยันว่าแนวโน้มขาลงจะดำเนินต่อไปหลังจากการพักฐานสั้นๆ เป็นโอกาสที่ดีในการเข้าขายหรือเพิ่มสถานะ Short
  • เคล็ดลับการเทรด:
    • เข้าขายเมื่อแท่งแดงสุดท้ายปิดยืนยันต่ำกว่าราคาต่ำสุดของรูปแบบ
    • ตั้งจุด Stop Loss สูงกว่าราคา candlestick ของแท่งเขียวที่สูงที่สุดในรูปแบบ
  • ผลลัพธ์: มักจะนำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาลงอย่างต่อเนื่องและมีโมเมนตัม
  • ถ้า…จะเป็นอย่างไร: หากแท่งเขียวมีขนาดใหญ่เกินไป หรือแท่งแดงสุดท้ายไม่สามารถปิดต่ำกว่าแท่งแรกได้ อาจไม่ใช่รูปแบบ Mat Hold และแนวโน้มอาจมีการเปลี่ยนแปลง

4. รูปแบบ Bearish Pinbar (แท่งเทียนไส้ยาวขาลง)

  • คืออะไร: รูปแบบแท่งเทียนเดี่ยวที่มีไส้เทียนด้านบนยาวมาก (Upper Shadow) และมีตัวแท่งสั้นๆ อยู่บริเวณส่วนล่างของแท่งเทียน บ่งบอกถึงการปฏิเสธราคาที่สูงขึ้น
  • ทำไมจึงก่อตัว: ในช่วงเวลาหนึ่ง ผู้ซื้อพยายามผลักดันราคาขึ้นไปอย่างรุนแรง แต่ในที่สุดผู้ขายก็สามารถดันราคาลงมาปิดใกล้เคียงกับราคาเปิดหรือต่ำกว่าได้ แสดงถึงแรงขายที่แข็งแกร่งที่เข้ามาต่อสู้และเอาชนะแรงซื้อได้
  • วิธีการระบุ:
    • ไส้เทียนด้านบนยาวอย่างน้อย 2-3 เท่าของตัวแท่ง
    • ตัวแท่งสั้น อยู่บริเวณ 1 ใน 3 ส่วนล่างของแท่งเทียน
    • ไส้เทียนด้านล่างสั้นมากหรือไม่มีเลย
    • ปรากฏที่ แนวต้าน หรือจุดกลับตัว
  • นัยยะที่สำคัญ: เป็นสัญญาณการกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลงที่เชื่อถือได้ โดยเฉพาะเมื่อปรากฏที่แนวต้านที่แข็งแกร่ง
  • เคล็ดลับการเทรด:
    • เข้าขายเมื่อแท่งถัดไปปิดต่ำกว่าราคาต่ำสุดของ Pinbar
    • ตั้งจุด Stop Loss สูงกว่าไส้เทียนด้านบนของ Pinbar เล็กน้อย
    • ใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่นๆ เช่น RSI หรือ Stochastic เพื่อยืนยันสัญญาณ
  • ผลลัพธ์: มักนำไปสู่การดิ่งลงของราคาอย่างรวดเร็วและมีโมเมนตัม
  • ถ้า…จะเป็นอย่างไร: หากไส้เทียนด้านบนไม่ยาวมากพอ หรือตัวแท่งมีขนาดใหญ่เกินไป อาจไม่ถือเป็น Pinbar ที่มีนัยสำคัญ

5. รูปแบบ Bearish Engulfing (แท่งเทียนกลืนกินขาลง)

  • คืออะไร: รูปแบบกลับตัวที่แข็งแกร่ง ตรงข้ามกับ Bullish Engulfing ประกอบด้วยแท่งเทียน 2 แท่ง แท่งแรกเป็นสีเขียวขนาดเล็ก และแท่งที่สองเป็นสีแดงขนาดใหญ่ที่ “กลืนกิน” ตัวแท่งของแท่งแรกได้อย่างสมบูรณ์
  • ทำไมจึงก่อตัว: แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของความเชื่อมั่นในตลาด จากแรงซื้อที่เคยควบคุมอยู่ถูกกลืนกินโดยแรงขายที่เข้ามาอย่างมหาศาล
  • วิธีการระบุ:
    • แท่งแรก: Bullish (เขียว) ขนาดเล็ก
    • แท่งที่สอง: Bearish (แดง) ขนาดใหญ่ ราคาเปิดสูงกว่าราคาปิดของแท่งแรก และราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิดของแท่งแรก
    • ตัวแท่งของแท่งที่สองควรครอบคลุมตัวแท่งของแท่งแรกทั้งหมด รูปแบบแท่งเทียน Bearish Engulfing
  • นัยยะที่สำคัญ: เป็นสัญญาณการกลับตัวจากแนวโน้มขาขึ้นเป็นขาลงที่ชัดเจนและมีพลังสูง บ่งบอกถึงการเข้ามาควบคุมตลาดของฝ่ายผู้ขายอย่างเด็ดขาด
  • เคล็ดลับการเทรด:
    • เข้าขายเมื่อแท่งแดงปิดสมบูรณ์และยืนยันการกลืนกิน
    • ตั้งจุด Stop Loss สูงกว่าราคา candlestick ของแท่งแดงที่กลืนกิน
    • ควรปรากฏหลังจากแนวโน้มขาขึ้นที่ชัดเจน
  • ผลลัพธ์: มักนำไปสู่การปรับตัวลงของราคาอย่างมีนัยสำคัญ
  • ถ้า…จะเป็นอย่างไร: หากแท่งแดงไม่สามารถกลืนกินแท่งเขียวได้อย่างสมบูรณ์ หรือแท่งเขียวมีขนาดใหญ่มากเกินไป ประสิทธิภาพของสัญญาณจะลดลง

6. รูปแบบ Bearish Harami (หญิงตั้งครรภ์ขาลง)

  • คืออะไร: รูปแบบกลับตัว ตรงข้ามกับ Bullish Harami ประกอบด้วยแท่งเทียน 2 แท่ง แท่งแรกเป็นสีเขียวขนาดใหญ่ และแท่งที่สองเป็นสีแดงขนาดเล็กที่อยู่ภายในตัวแท่งของแท่งแรก คล้ายกับหญิงตั้งครรภ์
  • ทำไมจึงก่อตัว: แสดงถึงการชะลอตัวของแรงซื้อหลังจากที่เคยรุนแรงมาแล้ว (แท่งเขียวใหญ่) และมีแรงขายเข้ามาเล็กน้อยแต่ไม่มากพอที่จะผลักดันราคาออกนอกช่วงของแท่งแรก บ่งบอกถึงความไม่แน่นอนและแนวโน้มที่อาจจะกลับตัว
  • วิธีการระบุ:
    • แท่งแรก: Bullish (เขียว) ขนาดใหญ่
    • แท่งที่สอง: Bearish (แดง) ขนาดเล็ก เปิดและปิดอยู่ภายในช่วงของตัวแท่งเขียวแรก
  • นัยยะที่สำคัญ: เป็นสัญญาณเตือนถึงความเป็นไปได้ของการกลับตัวจากแนวโน้มขาขึ้นเป็นขาลง แต่ไม่แข็งแกร่งเท่า Engulfing ควรมีการยืนยันจากแท่งถัดไป
  • เคล็ดลับการเทรด:
    • รอการยืนยันด้วยแท่งเทียนขาลงขนาดใหญ่ในแท่งถัดไปก่อนเข้าขาย
    • ตั้งจุด Stop Loss สูงกว่าราคา candlestick ของแท่งเขียวแรก
  • ผลลัพธ์: หากได้รับการยืนยัน อาจเห็นการปรับตัวลงของราคา แต่โมเมนตัมอาจไม่รุนแรงเท่า Engulfing
  • ถ้า…จะเป็นอย่างไร: หากแท่งถัดไปเป็นแท่งเขียว หรือไม่สามารถลงไปทำราคาต่ำได้ รูปแบบนี้อาจเป็นสัญญาณหลอก หรือแนวโน้มยังคงเป็นขาขึ้น

7. รูปแบบ Evening Star (ดาวรุ่งยามเย็น)

  • คืออะไร: รูปแบบกลับตัวขาลงที่แข็งแกร่ง ตรงข้ามกับ Morning Star ประกอบด้วยแท่งเทียน 3 แท่ง แท่งแรกเป็นสีเขียวขนาดใหญ่ ตามด้วยแท่งเทียนขนาดเล็ก (อาจเป็นเขียวหรือแดง หรือ Doji) ที่มี Gap ขึ้นไป และปิดท้ายด้วยแท่งแดงขนาดใหญ่ที่ Gap ลงมาหรือปิดต่ำในตัวแท่ง
  • ทำไมจึงก่อตัว: แสดงถึงการเปลี่ยนผ่านจากแนวโน้มขาขึ้นอย่างชัดเจน:
    1. แท่งแรก (เขียวใหญ่): ผู้ซื้อยังคงควบคุมตลาด
    2. แท่งกลาง (เล็ก/Doji): ตลาดเริ่มลังเล แรงซื้อหมดลง แรงขายเริ่มเข้ามา แต่ยังไม่มีฝ่ายใดชนะ
    3. แท่งที่สาม (แดงใหญ่): ผู้ขายเข้าควบคุมตลาดอย่างเต็มตัวและผลักดันราคาลงอย่างแข็งแกร่ง
  • วิธีการระบุ:
    • แท่งแรก: Bullish (เขียว) ขนาดใหญ่
    • แท่งที่สอง: ตัวแท่งขนาดเล็ก (อาจเป็นสีเขียว แดง หรือ Doji) ที่มี Gap เปิดสูงกว่าแท่งแรก
    • แท่งที่สาม: Bearish (แดง) ขนาดใหญ่ ราคาเปิดต่ำกว่าแท่งกลาง และราคาปิดเข้าสู่ช่วงตัวแท่งของแท่งแรก รูปแบบ Evening Star Forex คืออะไร
  • นัยยะที่สำคัญ: เป็นสัญญาณการกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลงที่เชื่อถือได้สูง บ่งบอกถึงการสิ้นสุดของแรงซื้อและเริ่มต้นของแรงขายอย่างมีนัยสำคัญ
  • เคล็ดลับการเทรด:
    • เข้าขายเมื่อแท่งแดงสุดท้ายปิดสมบูรณ์
    • ตั้งจุด Stop Loss สูงกว่าราคา candlestick ของแท่งกลาง
    • เป็นรูปแบบที่ควรให้ความสำคัญเมื่อปรากฏที่แนวต้านที่แข็งแกร่ง
  • ผลลัพธ์: มักนำไปสู่การปรับตัวลงของราคาที่แข็งแกร่งและยั่งยืน
  • ถ้า…จะเป็นอย่างไร: หากแท่งกลางมีขนาดใหญ่เกินไป หรือแท่งที่สามไม่สามารถปิดต่ำลงได้อย่างมีนัยสำคัญ รูปแบบอาจจะอ่อนแอลง

ตารางสรุปความแตกต่าง: รูปแบบแท่งเทียน Bullish vs Bearish

คุณสมบัติ รูปแบบแท่งเทียน Bullish (ขาขึ้น) รูปแบบแท่งเทียน Bearish (ขาลง)
เป้าหมายหลัก บ่งชี้ถึงโอกาสในการเข้าซื้อ (Buy) บ่งชี้ถึงโอกาสในการเข้าขาย (Sell / Short)
สัญญาณ การกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น หรือต่อเนื่องขาขึ้น การกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลง หรือต่อเนื่องขาลง
สีแท่งเทียนเด่น สีเขียว (หรือสีอื่นๆ ที่ระบุว่าเป็นแท่งขาขึ้น) สีแดง (หรือสีอื่นๆ ที่ระบุว่าเป็นแท่งขาลง)
ตำแหน่งที่ปรากฏ มักปรากฏที่แนวรับ หรือท้ายแนวโน้มขาลง มักปรากฏที่แนวต้าน หรือท้ายแนวโน้มขาขึ้น
จิตวิทยาตลาด แรงซื้อเอาชนะแรงขาย ความเชื่อมั่นฟื้นตัว แรงขายเอาชนะแรงซื้อ ความเชื่อมั่นลดลง
ตัวอย่าง (กลับตัว) Morning Star, Bullish Engulfing, Pinbar (ไส้ล่างยาว) Evening Star, Bearish Engulfing, Pinbar (ไส้บนยาว)
ตัวอย่าง (ต่อเนื่อง) Three White Soldiers, Mat Hold (Bullish) Three Black Crows, Mat Hold (Bearish)

FAQ Section: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับรูปแบบแท่งเทียน Bullish และ Bearish

Q1: รูปแบบแท่งเทียนมีความแม่นยำแค่ไหนในการเทรด?

A1: รูปแบบแท่งเทียนเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการระบุแนวโน้มและการกลับตัวของราคา อย่างไรก็ตาม ไม่มีรูปแบบใดที่แม่นยำ 100% ความแม่นยำของรูปแบบแท่งเทียนจะเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อใช้ร่วมกับการวิเคราะห์องค์ประกอบอื่นๆ เช่น แนวรับแนวต้าน, ปริมาณการซื้อขาย (Volume), Timeframe ที่ใหญ่ขึ้น, หรืออินดิเคเตอร์ทางเทคนิค เช่น RSI, MACD, Stochastic เพื่อยืนยันสัญญาณ ยิ่งมีสัญญาณยืนยันหลายอย่างประกอบกัน ความน่าเชื่อถือของรูปแบบก็จะยิ่งสูงขึ้น

Q2: มือใหม่ควรเริ่มต้นเรียนรู้รูปแบบแท่งเทียน Bullish และ Bearish แบบใดก่อน?

A2: สำหรับมือใหม่ ควรเริ่มต้นจากรูปแบบพื้นฐานที่พบบ่อยและมีความน่าเชื่อถือสูง เช่น:

  • สำหรับ Bullish: Bullish Engulfing, Pinbar (Hammer), Morning Star
  • สำหรับ Bearish: Bearish Engulfing, Pinbar (Shooting Star), Evening Star

รูปแบบเหล่านี้มีความชัดเจนในการให้สัญญาณและง่ายต่อการจดจำ การทำความเข้าใจและฝึกฝนการระบุรูปแบบเหล่านี้ในกราฟจริงจะช่วยสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งก่อนที่จะขยับไปเรียนรู้รูปแบบที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น

Q3: ควรใช้รูปแบบแท่งเทียนบน Timeframe ใดจึงจะเหมาะสมที่สุด?

A3: รูปแบบแท่งเทียนสามารถปรากฏได้ในทุก Timeframe ตั้งแต่ 1 นาทีไปจนถึงรายเดือน แต่โดยทั่วไปแล้ว รูปแบบที่ปรากฏบน Timeframe ที่ใหญ่ขึ้น (เช่น H4, Daily, Weekly) มักจะมีความน่าเชื่อถือและมีนัยยะสำคัญมากกว่ารูปแบบที่ปรากฏบน Timeframe เล็กๆ (เช่น M1, M5, M15) เนื่องจากสะท้อนถึงแรงซื้อขายที่แท้จริงในระยะยาวมากกว่า อย่างไรก็ตาม เทรดเดอร์สามารถใช้รูปแบบบน Timeframe เล็กเพื่อหาจุดเข้าและออกที่แม่นยำขึ้น โดยอิงตามแนวโน้มหลักจาก Timeframe ที่ใหญ่กว่า (Multi-Timeframe Analysis)

Q4: รูปแบบแท่งเทียน Bullish และ Bearish สามารถใช้ในการเทรดประเภทใดได้บ้าง?

A4: รูปแบบแท่งเทียนเหล่านี้สามารถนำไปใช้ได้กับการเทรดทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น:

  • Day Trading และ Scalping: ใช้เพื่อระบุจุดเข้าออกที่รวดเร็วและแม่นยำบน Timeframe เล็ก
  • Swing Trading: ใช้เพื่อจับจังหวะการกลับตัวของราคาในช่วงกลางหรือปลายของคลื่นราคา
  • Position Trading: ใช้เพื่อยืนยันการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มใหญ่และเข้าถือสถานะในระยะยาว

สิ่งสำคัญคือการปรับใช้รูปแบบให้เข้ากับกลยุทธ์และ Timeframe ที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของแต่ละบุคคล และอย่าลืมว่าการบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดเสมอ การบริหารความเสี่ยง

Conclusion:

การทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในรูปแบบแท่งเทียน Bullish และ Bearish ถือเป็นทักษะสำคัญที่นักเทรดทุกคนควรมี แท่งเทียนเหล่านี้เป็นมากกว่าเพียงแค่การแสดงข้อมูลราคา แต่คือกระจกสะท้อนถึงจิตวิทยาและพลวัตของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ด้วยการเรียนรู้ลักษณะเฉพาะ นัยยะทางจิตวิทยา และกลยุทธ์การเทรดที่เกี่ยวข้องกับแต่ละรูปแบบ ท่านจะสามารถอ่านภาษาราคาได้อย่างชำนาญ และมีข้อมูลเชิงลึกที่จำเป็นในการตัดสินใจซื้อขายได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

แม้ว่ารูปแบบแท่งเทียนจะทรงพลัง แต่พึงระลึกไว้เสมอว่าไม่มีเครื่องมือใดสมบูรณ์แบบ การใช้รูปแบบแท่งเทียนร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ เช่น แนวรับแนวต้าน, อินดิเคเตอร์, และการวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย จะช่วยเพิ่มความแม่นยำของสัญญาณและลดความเสี่ยงจากการถูกหลอกได้เป็นอย่างดี หมั่นฝึกฝน ทบทวน และปรับใช้ความรู้เหล่านี้ในการเทรดจริงอย่างสม่ำเสมอ เพื่อพัฒนาตนเองสู่การเป็นนักเทรดที่ประสบความสำเร็จในระยะยาว ขอให้ทุกท่านโชคดีกับการเทรด!

You Might Also Like

Contact Us on Line