TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
แจก EA & อินดิเคเตอร์

เทคนิคการเทรด Bull trap

ตุลาคม 4, 2022

กลยุทธ์ป้องกัน Bull Trap: เทรด Breakout อย่างไรไม่ให้ติดกับดัก

การเทรดในตลาดการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเทรดตามช่วงที่ราคา Breakout ทำ New High เป็นกลยุทธ์ที่ดึงดูดเทรดเดอร์จำนวนมาก ด้วยความคาดหวังว่าจะได้ทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรง อย่างไรก็ตาม บ่อยครั้งที่สถานการณ์กลับตาลปัตร เมื่อราคาพุ่งทะลุแนวต้านสำคัญ แต่แล้วกลับร่วงลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เทรดเดอร์ที่เปิดสถานะ Long ต้องประสบกับการขาดทุน ปรากฏการณ์นี้รู้จักกันในชื่อ “Bull Trap” หรือกับดักกระทิง ซึ่งเป็นหนึ่งในกับดักที่อันตรายและพบบ่อยที่สุดในตลาดการเงิน โดยเฉพาะกับเทรดเดอร์มือใหม่ที่ยังขาดประสบการณ์ในการอ่านสัญญาณตลาดที่ซับซ้อน

บทความนี้จะเจาะลึกถึงเบื้องหลังของ Bull Trap อธิบายว่าทำไมมันจึงเกิดขึ้นได้อย่างไร และนำเสนอ 2 กลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงกับดักนี้ พร้อมตัวอย่างประกอบและคำแนะนำที่เป็นรูปธรรม เพื่อให้คุณสามารถเทรด Breakout ได้อย่างมั่นใจและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรอย่างยั่งยืน

Bull Trap คืออะไร? ทำไมจึงเป็นกับดักที่เทรดเดอร์ต้องระวัง

Bull Trap คือสถานการณ์ที่ราคาของสินทรัพย์ (เช่น หุ้น, Forex, ทองคำ) ดูเหมือนจะทะลุแนวต้านสำคัญขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ (New High) หรือยืนยันการกลับตัวเป็นขาขึ้นอย่างชัดเจน ทำให้เทรดเดอร์จำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่ตกรถหรือ FOMO (Fear Of Missing Out) รีบเปิดสถานะซื้อ (Long Position) ตาม แต่หลังจากนั้นไม่นาน ราคากลับวกตัวกลับลงมาอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทำให้เทรดเดอร์ที่เข้ามาซื้อต้องติดอยู่กับสถานะขาดทุน เหตุการณ์นี้มักสร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับพอร์ตการลงทุน หากไม่มีการบริหารความเสี่ยงที่ดี

เบื้องหลังและกลไกการเกิด Bull Trap

Bull Trap ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่มีกลไกทางจิตวิทยาและการเคลื่อนไหวของตลาดเป็นตัวขับเคลื่อน ซึ่งสามารถอธิบายได้เป็นลำดับขั้นตอนดังนี้:

  1. ช่วงเริ่มแรกของแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend): ในช่วงที่ราคาเริ่มปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง เทรดเดอร์ที่ยังไม่มีสถานะซื้อในมือจะเริ่มรู้สึกเสียดายและอยากเข้ามามีส่วนร่วมในตลาด ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความรู้สึก FOMO
  2. การดึงดูดให้เทรดเดอร์เข้าสู่ตลาด: เมื่อราคายังคงปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีโมเมนตัมที่ดี กราฟราคาจะแสดงสัญญาณที่ดูเหมือนเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าซื้อ ทำให้เทรดเดอร์จำนวนมากตัดสินใจเปิด Long Position
  3. การทะลุแนวต้านและสร้าง New High (กับดัก): จุดสำคัญที่สุดของ Bull Trap คือเมื่อราคาทะลุแนวต้านสำคัญหรือทำจุดสูงสุดใหม่ (New High) ได้สำเร็จ สัญญาณนี้จะสร้างความมั่นใจให้กับเทรดเดอร์อย่างมากว่าราคาจะไปต่อและพวกเขากำลังมาถูกทาง ซึ่งแท้จริงแล้ว จุดนี้เองที่เป็น “กับดัก” เพราะเป็นการหลอกล่อให้คนเข้ามาซื้อมากที่สุด
  4. ราคาวกกลับและจิตวิทยาการถือสถานะ: หลังจากราคาทะลุแนวต้านได้ไม่นาน ราคากลับเริ่มวกตัวกลับลงมาอย่างรวดเร็ว เทรดเดอร์ส่วนมากที่เปิด Long ไว้มักจะยังคงถือออเดอร์นั้นไว้ ด้วยความเชื่อมั่นว่าราคาน่าจะย่อตัวลงเพียงเล็กน้อยแล้วจะกลับขึ้นไปต่อในไม่ช้า นี่คือกับดักทางจิตวิทยาที่ทำให้เทรดเดอร์ไม่ยอม Cut Loss
  5. การขาดทุนที่รุนแรงขึ้น: หากราคายังคงอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้กลับตัวขึ้นตามที่คาดการณ์ไว้ เทรดเดอร์ที่เปิด Long ก่อนหน้านี้จะประสบกับการขาดทุนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และอาจนำไปสู่การ Margin Call หรือ ติดดอย ในที่สุด

2 กลยุทธ์สำคัญในการป้องกัน Bull Trap: เทรดอย่างชาญฉลาด

การจะหลีกเลี่ยง Bull Trap ได้นั้น ไม่ได้อาศัยเพียงแค่การรู้จักรูปแบบเท่านั้น แต่ต้องอาศัยวินัยในการเทรดและความเข้าใจในการอ่านสัญญาณตลาดที่ลึกซึ้งขึ้น โดยมี 2 กลยุทธ์หลักที่คุณควรนำไปใช้:

1. เข้าช้าหน่อย (Avoid Early Entry): รอการยืนยันที่แท้จริง

หลักการ “เข้าช้าหน่อย” อาจฟังดูขัดแย้งกับสัญชาตญาณของเทรดเดอร์ที่มักจะรีบเข้าเมื่อเห็นราคาพุ่งแรง แต่ในทางปฏิบัติแล้ว นี่คือหนึ่งในเคล็ดลับที่สำคัญที่สุดในการหลีกเลี่ยง Bull Trap และเพิ่มความน่าจะเป็นในการทำกำไรอย่างยั่งยืน การทำความเข้าใจหลักการนี้และนำไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัดจะสร้างความแตกต่างอย่างมากในผลลัพธ์การเทรดของคุณ

  • ทำไมต้องเข้าช้าหน่อย?

    โดยทั่วไป เทรดเดอร์มักจะถูกกระตุ้นให้ซื้อเมื่อราคาเริ่มขึ้น และขายเมื่อราคาเริ่มลง เพราะกลัวว่าจะตกรถหรือเสียโอกาส แต่หลักการ “เข้าช้าหน่อย” คือการปรับมุมมองใหม่ โดยเน้นการยืนยันจากตลาดมากกว่าการคาดการณ์ล่วงหน้า คุณไม่ควรซื้อเพียงเพราะราคากำลังพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว และไม่ควรขายเพียงเพราะราคากำลังดิ่งลงอย่างรวดเร็ว

  • การเข้าซื้อที่ถูกต้องตามหลักการนี้:

    คุณควรซื้อเมื่อราคาขึ้นแล้วและได้รับการยืนยันการเคลื่อนไหวที่แท้จริง หมายความว่าราคาได้ผ่านช่วง “Bull Trap” ไปแล้ว และแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง หรือมีการปรับฐานเล็กน้อยแล้วกลับมาขึ้นต่อ การขายก็เช่นกัน ควรขายเมื่อราคาลงมาแล้วและมีสัญญาณยืนยันการเป็นขาลงที่ชัดเจน ไม่ใช่การลงชั่วคราว

    ตัวอย่าง: สมมติว่าราคาหุ้นตัวหนึ่งทำ New High และเทรดเดอร์จำนวนมากรีบเข้าซื้อทันที แต่ถ้าคุณรอให้ราคาขึ้นไปอีกเล็กน้อย แล้วมีการย่อตัวเล็กน้อยแต่ไม่หลุดแนวรับสำคัญที่เพิ่งทะลุขึ้นไป และกลับขึ้นไปต่อได้ นี่อาจเป็นสัญญาณยืนยันที่แข็งแกร่งกว่าการเข้าซื้อทันทีที่ Breakout

  • 3 ลักษณะของการเข้าสถานะ:

    1. เร็วเกินไป (Too Early): การเข้าสถานะแบบนี้เกิดจากการ “คาดการณ์” หรือ “มโน” ไปเองว่าตลาดจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่เราคิด โดยไม่มีสัญญาณยืนยันที่ชัดเจน มักนำไปสู่การติดกับดัก Bull Trap หรือ Bear Trap ได้ง่าย เทรดเดอร์กลุ่มนี้มักจะรีบเข้าเมื่อเห็นราคาเริ่มขยับเพียงเล็กน้อย
    2. พอดี (Optimal Entry): การเข้าสถานะในจังหวะที่เหมาะสมที่สุด คือเมื่อมี “สัญญาณยืนยัน” ว่าราคากำลังกลับตัวหรือเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่คาดการณ์ไว้ สัญญาณเหล่านี้อาจมาจากรูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns), อินดิเคเตอร์, หรือรูปแบบกราฟ (Chart Patterns) ที่ชัดเจน การเข้าแบบนี้จะช่วยลดความเสี่ยงจากการติดกับดักและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร
    3. ช้าเกินไป (Too Late): การเข้าสถานะเมื่อราคาเคลื่อนไหวไปมากแล้ว หมายความว่าส่วนใหญ่ของกำไรที่เป็นไปได้ได้ผ่านไปแล้ว การเข้าแบบนี้ยังคงทำกำไรได้ แต่ผลตอบแทนอาจไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยงเท่าที่ควร และยังเสี่ยงต่อการเกิดการกลับตัวของราคาหลังจากที่เราเข้าได้ไม่นาน

2. รอสัญญาณยืนยันที่ชัดเจน (Confirming Signals): ใช้เครื่องมือช่วยตัดสินใจ

การพึ่งพาสัญญาณยืนยันที่ชัดเจนจากเครื่องมือทางเทคนิคเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการหลีกเลี่ยง Bull Trap โดยเฉพาะสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ที่อาจยังไม่ชำนาญในการอ่าน “Price Action” ที่ซับซ้อน อินดิเคเตอร์ (Indicators) สามารถเป็นตัวช่วยที่ยอดเยี่ยมในการกรองสัญญาณหลอก

  • การใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average – MA) เป็นตัวยืนยัน:

    หนึ่งในสัญญาณยืนยันที่ง่ายและนิยมใช้กันทั่วไปคือ การใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เส้นค่าเฉลี่ย 20 วัน (20-Day Moving Average) เป็นตัวแทนในการยืนยันแนวโน้ม หรือการกลับตัวของราคา

    กฎการเทรด Bull Trap ด้วย MA 20 วัน: หากคุณกำลังพิจารณาที่จะเทรดในสถานการณ์ที่ราคาดูเหมือนจะเป็น Bull Trap (คือราคา Breakout ทำ New High แล้วเริ่มวกตัวลง) คุณควรพิจารณาเข้าเทรด Short หรือป้องกันตัว “ก็ต่อเมื่อราคาลงมาต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 20 วันก่อน” เท่านั้น

    ทำไมต้องเป็น MA 20 วัน? เส้นค่าเฉลี่ย 20 วัน มักถูกใช้เป็นตัวแทนของแนวโน้มระยะสั้นถึงกลาง การที่ราคาอยู่เหนือ MA 20 วัน มักจะบ่งบอกถึงแนวโน้มขาขึ้น ในขณะที่การที่ราคาหลุดต่ำกว่า MA 20 วัน อาจเป็นสัญญาณเตือนของการอ่อนแรงหรือการกลับตัวเป็นขาลงชั่วคราวหรือถาวร การรอให้ราคาหลุดต่ำกว่าเส้นนี้จะช่วยกรองสัญญาณหลอกได้ในระดับหนึ่ง

    ตัวอย่าง: ราคาหุ้น XYZ กำลังทำ New High และเทรดเดอร์จำนวนมากแห่กันเข้าซื้อ แต่คุณสังเกตว่าหลังจากทำ New High ได้ไม่นาน ราคาเริ่มอ่อนตัวลงและกำลังจะหลุดต่ำกว่าเส้น MA 20 วัน หากราคาสามารถหลุดต่ำกว่าเส้น MA 20 วันได้อย่างชัดเจน นั่นอาจเป็นสัญญาณยืนยันว่า Bull Trap กำลังเกิดขึ้น และคุณควรหลีกเลี่ยงการเปิด Long หรือพิจารณาเปิด Short หากมีสัญญาณอื่นๆ สนับสนุน

  • การใช้สัญญาณยืนยันอื่นๆ:

    • รูปแบบแท่งเทียนกลับตัว (Reversal Candlestick Patterns): เช่น Shooting Star, Bearish Engulfing, Dark Cloud Cover ที่เกิดขึ้นบริเวณแนวต้านหลังจาก Breakout อาจเป็นสัญญาณเตือนที่ดีว่าราคาอาจเป็น Bull Trap
    • ปริมาณการซื้อขาย (Volume): หากราคา Breakout ทำ New High แต่มีปริมาณการซื้อขายที่น้อย หรือลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อาจบ่งชี้ว่าการ Breakout นั้นไม่มีพลังงานที่แท้จริง และเสี่ยงต่อการเป็น Bull Trap สูง
    • อินดิเคเตอร์ Momentum: เช่น RSI หรือ MACD ที่แสดงสัญญาณ Divergence (ราคาทำ New High แต่อินดิเคเตอร์ทำ High ที่ต่ำลง) ก็เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญของการอ่อนแรงของแนวโน้ม

ตารางสรุป: เปรียบเทียบการเข้าสถานะแบบต่างๆ

ลักษณะการเข้า คำอธิบาย ข้อดี ข้อเสีย ความเสี่ยง Bull Trap
เร็วเกินไป (Too Early) คาดการณ์ตลาด ล่วงหน้า ไม่มีสัญญาณยืนยัน มีโอกาสได้กำไรสูงสุด หากคาดการณ์ถูก เสี่ยงสูงมาก, มีโอกาสติดกับดักสูง สูงมาก
พอดี (Optimal Entry) รอสัญญาณยืนยันจาก Price Action, Indicators ความเสี่ยงต่ำลง, โอกาสทำกำไรสูงขึ้น อาจพลาดกำไรสูงสุดไปบ้าง ต่ำ
ช้าเกินไป (Too Late) เข้าเมื่อราคาเคลื่อนไหวไปมากแล้ว ความเสี่ยงต่ำที่สุด กำไรที่ได้น้อยลง, อาจเจอการกลับตัวเร็ว ปานกลาง (อาจเจอ Bear Trap แทน)

FAQ Section: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Bull Trap

เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจในปรากฏการณ์ Bull Trap เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยพร้อมคำตอบที่ละเอียด ดังนี้:

Q1: นอกจาก Bull Trap แล้ว มีกับดักอื่นๆ ที่คล้ายกันอีกหรือไม่?

A1: มีครับ นอกจาก Bull Trap ที่เป็นกับดักสำหรับเทรดเดอร์ขาขึ้นแล้ว ยังมี “Bear Trap” ซึ่งเป็นสถานการณ์ตรงกันข้าม คือราคาดูเหมือนจะหลุดแนวรับสำคัญลงไปทำจุดต่ำสุดใหม่ (New Low) ทำให้เทรดเดอร์จำนวนมากรีบเปิดสถานะ Short ตาม แต่แล้วราคากลับดีดตัวกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทำให้เทรดเดอร์ที่เปิด Short ติดกับดักและขาดทุนเช่นกัน ทั้ง Bull Trap และ Bear Trap เป็นรูปแบบของสัญญาณหลอก (False Breakout) ที่เทรดเดอร์ควรระวัง

Q2: การใช้ Timeframe ที่ใหญ่ขึ้น ช่วยป้องกัน Bull Trap ได้หรือไม่?

A2: ช่วยได้ในระดับหนึ่งครับ การวิเคราะห์ใน Timeframe ที่ใหญ่ขึ้น (เช่น H4, Daily, Weekly) จะช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมของแนวโน้มตลาดได้ชัดเจนกว่า และกรองสัญญาณรบกวนหรือสัญญาณหลอกใน Timeframe ที่เล็กกว่าได้ดีขึ้น สัญญาณ Breakout ที่เกิดขึ้นใน Timeframe ใหญ่ มักจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่า อย่างไรก็ตาม การใช้ Timeframe ใหญ่เพียงอย่างเดียวไม่ได้รับประกันว่าจะป้องกัน Bull Trap ได้ 100% ยังคงต้องใช้ร่วมกับสัญญาณยืนยันอื่นๆ และการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม

Q3: ควรทำอย่างไรเมื่อรู้ตัวว่าติด Bull Trap ไปแล้ว?

A3: สิ่งสำคัญที่สุดคือการ Cut Loss ตามแผนที่วางไว้ตั้งแต่แรก หากคุณมีแผนการเทรดและกำหนดจุด Stop Loss ไว้แล้ว ควรปฏิบัติตามแผนอย่างเคร่งครัดโดยไม่มีอารมณ์มาเกี่ยวข้อง การยึดติดกับสถานะที่ขาดทุนด้วยความหวังว่าราคาจะกลับมาอาจทำให้คุณขาดทุนหนักกว่าเดิม การยอมรับการขาดทุนเล็กน้อยเพื่อรักษาเงินทุนไว้เป็นสิ่งสำคัญในระยะยาว หลังจาก Cut Loss แล้ว ควรทบทวนการเทรดเพื่อเรียนรู้จากข้อผิดพลาดและปรับปรุงกลยุทธ์ต่อไป

Q4: มีอินดิเคเตอร์ใดที่ช่วยระบุ Bull Trap ได้ดีเป็นพิเศษบ้าง?

A4: นอกจาก Moving Average แล้ว ยังมีอินดิเคเตอร์อื่นๆ ที่สามารถช่วยระบุ Bull Trap ได้ เช่น:

  • Volume: การสังเกตปริมาณการซื้อขาย หากราคา Breakout ด้วย Volume ที่น้อยกว่าปกติ หรือ Volume ลดลงอย่างมีนัยสำคัญหลังจาก Breakout อาจเป็นสัญญาณเตือน
  • RSI (Relative Strength Index): หากราคาทำ New High แต่อินดิเคเตอร์ RSI ทำ High ที่ต่ำลง (Bearish Divergence) นี่เป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งว่าแนวโน้มขาขึ้นอาจกำลังอ่อนแรงและมีโอกาสเกิด Bull Trap สูง
  • MACD (Moving Average Convergence Divergence): คล้ายกับ RSI หากราคาทำ New High แต่อินดิเคเตอร์ MACD แสดง Bearish Divergence ก็เป็นสัญญาณเตือนที่ควรระวัง

การใช้อินดิเคเตอร์เหล่านี้ร่วมกันจะเพิ่มความแม่นยำในการระบุ Bull Trap ได้

Q5: วินัยในการเทรดมีความสำคัญอย่างไรในการป้องกัน Bull Trap?

A5: วินัยในการเทรดเป็นหัวใจสำคัญในการป้องกัน Bull Trap และความสำเร็จในการเทรดโดยรวมครับ หากขาดวินัย เทรดเดอร์จะถูกอารมณ์ความกลัว (Fear) และความโลภ (Greed) เข้าครอบงำได้ง่าย ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการติดกับดักต่างๆ ในตลาด การมีวินัยในการทำตามแผนการเทรดที่วางไว้ล่วงหน้า การกำหนดจุดเข้า-ออกที่ชัดเจน การกำหนด Stop Loss และ Take Profit จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น และหลีกเลี่ยงการกระทำที่เกิดจากอารมณ์ ซึ่งมักนำไปสู่การขาดทุน

สรุป

Bull Trap เป็นปรากฏการณ์ที่เทรดเดอร์ทุกคนต้องเคยเจอหรือจะได้เจออย่างแน่นอนในเส้นทางการเทรด การทำความเข้าใจว่า Bull Trap คืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร และมีกลไกเบื้องหลังอย่างไร จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการปกป้องเงินทุนและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในระยะยาว

ด้วย 2 กลยุทธ์หลักที่เราได้นำเสนอ คือ “เข้าช้าหน่อย” ด้วยการรอสัญญาณยืนยันที่แท้จริงจากตลาด และ “รอสัญญาณยืนยันที่ชัดเจน” ด้วยการใช้เครื่องมือทางเทคนิคอย่างเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 20 วัน (MA 20) และอินดิเคเตอร์อื่นๆ ร่วมกับการวิเคราะห์ Volume และ Price Action จะช่วยให้คุณสามารถระบุและหลีกเลี่ยงกับดักกระทิงนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สิ่งสำคัญที่สุดคือการมีวินัยในการเทรด การยึดมั่นในแผนการที่วางไว้ และการเรียนรู้จากประสบการณ์ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ

หากคุณต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับกลยุทธ์การเทรดต่างๆ หรือต้องการคำแนะนำในการพัฒนาระบบเทรดของคุณ โปรดเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราที่ fttinvesting.com เพื่อรับข้อมูลและเครื่องมืออันมีค่าที่จะช่วยยกระดับการเทรดของคุณ

You Might Also Like

Contact Us on Line