กลยุทธ์ Breakout (BO) ในการเทรด Forex และหุ้น: คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับเทรดเดอร์
ในโลกของการเทรด ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นหรือตลาด Forex การทำความเข้าใจปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Breakout” (BO) ถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างผลกำไรที่ยั่งยืน บทความนี้จะเจาะลึกถึงความหมาย, กลไกการเกิด, เทคนิคการเทรด, และการบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการ Breakout อย่างละเอียด เพื่อให้คุณเป็นเทรดเดอร์ที่มีความได้เปรียบในตลาด
Breakout (BO) คืออะไร?
Breakout (BO) หรือ “การฝ่าวงล้อม” ในบริบทของการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน หมายถึง สถานการณ์ที่ราคาของสินทรัพย์นั้น ๆ มีการเคลื่อนไหวทะลุผ่านระดับ แนวรับ (Support) หรือแนวต้าน (Resistance) ที่สำคัญที่เรากำหนดไว้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ เส้นเทรนด์ไลน์ (Trendline), เครื่องมือ Fibonacci, หรือกรอบราคา (Trading Range) ต่างๆ.
การเกิด Breakout แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของสมดุลระหว่างแรงซื้อและแรงขายอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อราคาทะลุแนวต้านขึ้นไป มักบ่งชี้ถึงแรงซื้อที่เข้ามาอย่างมหาศาล และหากราคาทะลุแนวรับลงมา ก็แสดงถึงแรงขายที่รุนแรง ในทางเทคนิคแล้ว Breakout จึงเป็นหนึ่งใน “Trade Setup” หรือรูปแบบการเข้าเทรดที่นักลงทุนนิยมใช้ โดยจะทำการซื้อเมื่อราคาทะลุแนวต้านขึ้นไป หรือขายเมื่อราคาทะลุแนวรับลงมา
ทำไม Breakout ถึงสำคัญ?
- สัญญาณการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่: Breakout มักเป็นสัญญาณนำของการเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็วและรุนแรงในทิศทางเดียว เนื่องจากราคาได้หลุดออกจากกรอบการเคลื่อนไหวเดิม
- โอกาสทำกำไรสูง: การเข้าเทรดในช่วง Breakout ที่ประสบความสำเร็จมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงในระยะเวลาอันสั้น
- การยืนยันแนวโน้ม: Breakout สามารถยืนยันการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มราคาจาก Sideway ไปเป็นเทรนด์ขาขึ้นหรือขาลงได้
เทคนิคระบบเทรด Breakout: เจาะลึกกลยุทธ์และการทำงานของตลาด
ระบบเทรด Breakout ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในหมู่นักลงทุนมายาวนาน เหตุผลหลักคือตลาดส่วนใหญ่มักจะเคลื่อนไหวในกรอบ (Sideway) หรืออยู่ในช่วงของการสะสมพลังงาน (Consolidation) เสียเป็นส่วนใหญ่ ก่อนที่จะเกิดการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ การเคลื่อนไหวแบบ Consolidation มักเกิดขึ้นหลังจากที่ราคาได้วิ่งมาอย่างรุนแรง เป็นช่วงเวลาที่ “ขาใหญ่” หรือนักลงทุนสถาบันปิดทำกำไรบางส่วน และเป็นช่วงของการสะสมออเดอร์เพื่อเพิ่มจำนวน Positions ในตลาด
กลไกการเกิด Breakout และบทบาทของนักลงทุน
เมื่อเกิด Breakout ราคามักจะวิ่งขึ้นหรือลงอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ก่อนที่จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า “Retest” ซึ่งเป็นโอกาสครั้งที่สองสำหรับเทรดเดอร์ที่เข้าใจกลไกตลาด หากคุณสามารถทำความเข้าใจโครงสร้างและพฤติกรรมของตลาดในช่วงนี้ได้ คุณจะสามารถ เทรด ไปพร้อมกับขาใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ภาพด้านบนแสดงให้เห็นถึงช่วง Consolidation ในกรอบสีแดง ก่อนที่จะเกิด Breakout ขึ้นไปด้านบน ในช่วงนี้ ขาใหญ่จะทำการเพิ่ม Positions อย่างต่อเนื่อง หากช่วงเวลา Consolidation นานเท่าไร โอกาสที่ Positions จะสะสมมากขึ้นและทำให้เกิด Breakout ที่รุนแรงก็มีมากขึ้นเท่านั้น
บทบาทของ Stop Loss และ Trapped Traders
ในระหว่างที่ราคาเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง Consolidation เทรดเดอร์จำนวนมากที่เปิด Position จะตั้ง Stop Loss (SL) ไว้ที่ระดับ High หรือ Low ของกรอบราคานั้น ๆ ยกตัวอย่างเช่น ในภาพประกอบ มีจุดอ้างอิง 2 จุดที่เทรดเดอร์กลุ่มแรกเหล่านี้จะตั้ง Stop Loss ไว้ หากราคาวิ่งขึ้นทะลุแนวต้านขึ้นไปตามภาพ เทรดเดอร์กลุ่มนี้จะกลายเป็น “Trapped Traders” หรือนักลงทุนที่ติดกับดัก
คำสั่ง Stop Loss ของ Trapped Traders เหล่านี้จะถูกเปลี่ยนเป็นคำสั่ง Buy Market Order ทันทีเมื่อราคามาถึง ซึ่งเป็นการเพิ่มแรงซื้อเข้าสู่ตลาดอย่างมหาศาล และเทรดเดอร์อีกกลุ่มหนึ่งที่รอจังหวะเข้าเทรด (Breakout Traders) ก็จะวาง Buy Stop Order เหนือกรอบราคา ซึ่งจะถูก Trigger เมื่อราคา Breakout ขึ้นไป ทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ของ Market Orders ที่ผลักดันราคาให้พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว (Domino Effect)
ทำไมราคาถึงวิ่งเร็วหลัง Breakout?
เหตุผลที่ราคาหลัง Breakout มักจะวิ่งเร็วและรุนแรง คือการที่ขาใหญ่ใช้เทคนิคการเทรดเพื่อกระตุ้นให้เกิด Breakout โดยอาศัยประโยชน์จาก Stop Orders เหล่านี้ Stop Orders ที่ถูกบังคับเปิดเมื่อราคาไปแตะ จะกลายเป็น Buy Market Order ที่ดันราคาไปแตะ Stop Orders ตัวต่อไปโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาใหญ่ชำนาญและสามารถจัดการได้ง่าย ทำให้ราคาเคลื่อนไหวอย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก Stop Orders เหล่านี้เป็นออเดอร์ที่ถูกบังคับเปิดที่ราคาสูงและมีสภาพคล่อง (Liquidity) ต่ำ เพราะไม่ได้มาจากการเปิดเทรดโดยตรง จึงเป็นโอกาสให้ขาใหญ่ปิดทำกำไรได้เช่นกัน ทำให้ราคาอาจมีการย่อตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว (Retest) นอกจากนี้ Breakout Traders ที่เปิด Buy Position เมื่อเห็นกำไรเริ่มลดลง ก็จะออกจากตลาดอย่างรวดเร็วเช่นกัน ซึ่งการปิด Position ด้วยคำสั่ง Sell Orders เหล่านี้ จะยิ่งทำให้ราคาเคลื่อนตัวกลับมายังจุด Breakout ได้เร็วขึ้น และเปิดโอกาสให้ขาใหญ่เข้าเทรดอีกครั้ง
การใช้ความรู้เพื่อเข้าเทรด Retest
เมื่อเข้าใจกลไกการทำงานของ Breakout แล้ว สิ่งสำคัญคือการนำความรู้นี้ไปใช้ในการเข้าเทรดในช่วง Retest ซึ่งเป็นโอกาสที่สองในการเข้าตลาด โดยมีหลักการดังนี้:
- การอ้างอิงพื้นที่ Retest: พื้นที่ Retest คือบริเวณที่ราคา Breakout ขึ้นไป เช่น กรอบสีน้ำเงินในภาพ
- การลงไป Timeframe ที่เล็กกว่า: เมื่อราคาเข้าสู่พื้นที่ Retest ให้ลงไปดูใน Timeframe ที่เล็กกว่า (เช่นจาก D1 ไป H1 หรือ H4 ไป M15) เพื่อหารูปแบบ Price Action ที่เป็นสัญญาณการกลับตัวหรือการไปต่อของราคา เช่น Engulfing Bar, Pin Bar หรือรูปแบบแท่งเทียนอื่น ๆ
- การเปิดเทรด: เมื่อพบสัญญาณ Price Action ที่ชัดเจนในพื้นที่ Retest ก็สามารถเปิด Position ได้

จากภาพด้านบน เป็นตัวอย่างเทคนิคการเข้าเทรดเมื่อเกิด Breakout และราคากลับมา Retest อีกครั้ง จะเห็นว่ามี Pin Bar เกิดขึ้นในพื้นที่ Retest ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีในการเปิด Position
ความเชื่อมโยงกับ Supply/Demand และ Support/Resistance Zone
หากมองในมุมของ Order Flow หลักการทำงานของ Breakout และ Retest มีความคล้ายคลึงกับเทคนิคการเทรดแบบ Supply/Demand Zone หรือ Support/Resistance Zone เป็นอย่างมาก เนื่องจากเป้าหมายหลักคือการมองหาความไม่สมดุลของ Order ที่เกิดขึ้นในตลาด เพื่อยืนยันการเคลื่อนไหวของราคา
ความเข้าใจในจุดอ่อนของตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์ที่ Trapped Traders ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องจัดการกับ Order ของตนเอง ยิ่งถ้าพื้นที่นั้นมีความกดดันสูง การเข้ามาของ Order จำนวนมาก ทั้งจาก Trapped Traders และ Buy Stop/Sell Stop Order ที่รออยู่ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันราคา การไม่ลืมเรื่อง Liquidity และ Positions ที่สะสมอยู่ในช่วง Consolidation โดยเฉพาะจาก Timeframe ใหญ่ๆ ยิ่งส่งผลต่อความรุนแรงของ Breakout อย่างมาก

จากภาพข้างต้นที่แสดงจุด Retest 1, 2, 3 และ 4 จะเห็นได้ว่าการเข้าใจแหล่งที่มาของ Order หลังเกิด Breakout นั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่ง หากเงื่อนไขเอื้ออำนวยให้ Market Orders เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งจาก Stop Loss ที่ถูกบังคับ หรือจาก Breakout ที่เอาชนะ Price Levels ฝั่งตรงข้าม ทำให้เกิด Trapped Traders ในหลายจุดและหนุนกัน จะส่งผลให้ Order ส่วนใหญ่ไหลไปในทิศทางที่ Breakout ไป ทำให้ราคาเคลื่อนที่ได้ไกลและทำกำไรได้มาก

ภาพสุดท้ายแสดงเทคนิค Breakout ในกราฟ D1 เมื่อซูมเข้าไปในกราฟ H1 จะเห็นจุดอ้างอิงที่ชัดเจนที่ราคามา Retest ในรอบแรก (เลข 2) ซึ่งเป็นโอกาสในการเทรดสะสมหลังจากเกิด Pin Bar ในบริเวณนั้น แม้ว่าราคาจะลงมาต่ำกว่าเลข 2 เล็กน้อยเพื่อ “ล่า Stop” (Stop Hunt) ก่อนที่จะกลับขึ้นไปอย่างรวดเร็ว บ่งบอกถึงการเข้าเทรดหลังจากที่ Stop ถูกล่าไปแล้ว หากมองโครงสร้างนี้ในกราฟ D1 จะเห็นว่าเป็นการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยที่ทำให้นักลงทุนที่ติดกับดัก (Trapped Traders) ออกจากตลาด ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่ายิ่ง Breakout เกิดขึ้นในพื้นที่จาก Timeframe ที่ใหญ่เท่าไร ยิ่งมี Trapped Positions จำนวนมากที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของการ Breakout มากขึ้นเท่านั้น
เคล็ดลับและกลยุทธ์เพิ่มเติมสำหรับการเทรด Breakout
1. การระบุแนวรับและแนวต้านที่แข็งแกร่ง
หัวใจสำคัญของการเทรด Breakout คือการระบุแนวรับและแนวต้านที่แข็งแกร่ง (Support and Resistance) ซึ่งเป็นระดับราคาที่ได้รับการทดสอบหลายครั้งแต่ไม่ทะลุผ่าน ยิ่งแนวรับหรือแนวต้านได้รับการทดสอบมากเท่าไหร่ และระยะเวลาของการ Consolidation นานเท่าไหร่ ยิ่งบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของระดับนั้น ๆ และเมื่อเกิด Breakout ก็มีแนวโน้มที่จะรุนแรง
2. การใช้ Volume เพื่อยืนยัน Breakout
Volume หรือปริมาณการซื้อขาย เป็นสิ่งสำคัญในการยืนยันความถูกต้องของ Breakout การ Breakout ที่แท้จริงมักจะมาพร้อมกับ Volume ที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ บ่งชี้ว่ามีนักลงทุนจำนวนมากเข้าร่วมในการเคลื่อนไหวของราคา หากราคา Breakout โดยมี Volume ต่ำ อาจเป็นสัญญาณของการ Breakout ปลอม (Fakeout)
3. การรอ Retest (Pullback)
ตามที่กล่าวไปข้างต้น การรอให้ราคา Retest หรือ Pullback กลับมายังระดับที่ Breakout ไปก่อนที่จะเข้าเทรด เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร Retest มักจะเป็นโอกาสที่ดีในการเข้า Position ที่ราคาดีขึ้นและมี Stop Loss ที่กระชับขึ้น
- ทำไมต้องรอ Retest?
- ลดความเสี่ยง Fakeout: การที่ราคา Retest และยืนยันแนวรับ/แนวต้านที่ถูกทำลาย จะช่วยยืนยันว่า Breakout นั้นเป็นของจริง ไม่ใช่ Fakeout
- ราคาเข้าที่ดีกว่า: การเข้าเทรดที่จุด Retest มักจะได้ราคาที่ดีกว่าการเข้าทันทีที่เกิด Breakout
- กำหนด Stop Loss ได้แม่นยำ: สามารถวาง Stop Loss ใต้แนวรับที่ถูกทำลาย (สำหรับ Breakout ขาขึ้น) หรือเหนือแนวต้านที่ถูกทำลาย (สำหรับ Breakout ขาลง) ได้อย่างชัดเจน
4. การพิจารณา Timeframe ที่หลากหลาย
การวิเคราะห์ Breakout ควรทำใน Timeframe ที่หลากหลาย (Multi-Timeframe Analysis) เพื่อให้เห็นภาพรวมของตลาด ตัวอย่างเช่น หากเกิด Breakout ใน Timeframe H1 ควรดูแนวโน้มใน Timeframe H4 หรือ D1 ประกอบ เพื่อให้แน่ใจว่าการ Breakout นั้นสอดคล้องกับภาพใหญ่ของตลาด
5. การบริหารความเสี่ยง (Risk Management)
การเทรด Breakout มีความผันผวนสูง ดังนั้นการบริหารความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
- การกำหนด Stop Loss: ตั้ง Stop Loss เสมอเพื่อจำกัดความเสียหายหากการ Breakout ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้
- การกำหนด Take Profit: วางแผนจุดทำกำไร (Take Profit) ที่สมเหตุสมผล โดยอาจใช้เครื่องมือเช่น Fibonacci Extension หรือการวัดระยะของกรอบ Consolidation เดิม
- การจัดการ Position Size: ปรับขนาด Position ให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ในแต่ละการเทรด
ตารางเปรียบเทียบ Breakout รูปแบบต่างๆ
การ Breakout สามารถเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับลักษณะของแนวรับและแนวต้านที่ราคาถูกทำลาย
| รูปแบบ Breakout | ลักษณะ | สัญญาณเข้าเทรด | ความเสี่ยง |
|---|---|---|---|
| Breakout แนวต้าน (Resistance Breakout) | ราคาเคลื่อนที่ทะลุแนวต้านขึ้นไป | เข้าซื้อเมื่อราคายืนเหนือแนวต้าน หรือรอ Retest | Fakeout หาก Volume ต่ำ หรือราคากลับลงมา |
| Breakout แนวรับ (Support Breakout) | ราคาเคลื่อนที่ทะลุแนวรับลงมา | เข้าขายเมื่อราคายืนใต้แนวรับ หรือรอ Retest | Fakeout หาก Volume ต่ำ หรือราคากลับขึ้นไป |
| Breakout Trendline | ราคาเคลื่อนที่ทะลุเส้น Trendline ที่ใช้กำหนดแนวโน้ม | เข้าเทรดตามทิศทาง Breakout เมื่อยืนยัน | การตี Trendline ที่ไม่แม่นยำอาจนำไปสู่ Fakeout |
| Breakout Chart Pattern | ราคาเคลื่อนที่ทะลุรูปแบบกราฟต่างๆ เช่น Triangle, Rectangle, Head & Shoulders | เข้าเทรดตามทิศทาง Breakout ของ Pattern นั้นๆ | ต้องมีความชำนาญในการระบุ Chart Pattern ที่ถูกต้อง |
FAQ Section: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Breakout (BO)
Q1: Breakout กับ Fakeout ต่างกันอย่างไร?
A1: Breakout คือการที่ราคาเคลื่อนที่ทะลุแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญไปอย่างแท้จริง โดยมักจะมี Volume การซื้อขายที่สูงและราคาจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางนั้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ Fakeout (การ Breakout ปลอม) คือการที่ราคาพยายามจะทะลุแนวรับหรือแนวต้าน แต่สุดท้ายก็กลับเข้ามาในกรอบเดิมอย่างรวดเร็ว มักจะเกิดขึ้นโดยมี Volume ต่ำ หรือเป็นการเคลื่อนไหวระยะสั้นเพื่อล่อให้นักลงทุนรายย่อยติดกับดัก วิธีสังเกต Fakeout คือ การดู Volume และการรอ Retest เพื่อยืนยันว่าราคา Breakout ไปจริงหรือไม่
Q2: เครื่องมือหรือ Indicator ใดบ้างที่ช่วยในการระบุ Breakout?
A2:
- แนวรับและแนวต้าน (Support and Resistance): เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดในการระบุ Breakout
- เส้นเทรนด์ไลน์ (Trendline): ช่วยระบุแนวโน้มและกรอบการเคลื่อนไหวของราคา
- รูปแบบกราฟราคา (Chart Patterns): เช่น Triangle, Rectangle, Flag, Pennant มักจะเป็นรูปแบบที่นำไปสู่การ Breakout
- Volume Indicator: เช่น Volume, On-Balance Volume (OBV) ใช้ยืนยันความแข็งแกร่งของ Breakout
- Average True Range (ATR): ช่วยวัดความผันผวนของราคาและประเมินขนาดของการ Breakout ที่เป็นไปได้
Q3: ควรใช้ Timeframe ใดในการเทรด Breakout?
A3: การเลือก Timeframe ขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรดของคุณ เทรดเดอร์ระยะสั้น (Scalper, Day Trader) อาจใช้ Timeframe ที่เล็กลง เช่น M5, M15 เพื่อหาจุดเข้าและออกที่แม่นยำ แต่ควรดูภาพรวมจาก Timeframe ใหญ่กว่า (H1, H4) ประกอบด้วย เพื่อหลีกเลี่ยง Fakeout ส่วนเทรดเดอร์ระยะกลางถึงยาว (Swing Trader, Position Trader) มักจะใช้ Timeframe H1, H4, D1 ในการระบุ Breakout ที่มีนัยสำคัญและมีโอกาสทำกำไรสูงกว่า
Q4: การบริหารความเสี่ยงสำหรับการเทรด Breakout มีอะไรบ้าง?
A4: การบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการเทรด Breakout เนื่องจากมีความผันผวนสูง
- กำหนด Stop Loss เสมอ: วาง Stop Loss ที่เหมาะสมเสมอเพื่อจำกัดความเสียหายหากราคาไม่เป็นไปตามคาดการณ์
- กำหนด Take Profit ที่ชัดเจน: มีเป้าหมายการทำกำไรที่ชัดเจนและสอดคล้องกับศักยภาพของการ Breakout
- คำนวณ Position Size: ปรับขนาด Position ให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ โดยไม่ควรเสี่ยงเกิน 1-2% ของเงินทุนในแต่ละการเทรด
- ใช้ Trailing Stop: เมื่อราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ถูกต้อง สามารถใช้ Trailing Stop เพื่อปกป้องกำไรที่เกิดขึ้นแล้ว
Q5: Breakout ที่เกิดจากข่าว (News Breakout) มีความแตกต่างอย่างไร?
A5: News Breakout คือการที่ราคาเกิดการ Breakout อย่างรุนแรงจากการประกาศข่าวเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น ข่าวอัตราดอกเบี้ย, รายงานการจ้างงาน หรือข้อมูลเงินเฟ้อ การ Breakout ประเภทนี้มักจะมาพร้อมกับ Volume ที่สูงมากและความผันผวนที่รุนแรง เทรดเดอร์ที่ต้องการเทรด News Breakout จะต้องมีความเข้าใจในผลกระทบของข่าว และมีกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงที่เข้มงวด เนื่องจากราคาสามารถเคลื่อนไหวได้สองทิศทางอย่างรวดเร็วและไม่แน่นอน
สรุป: Breakout (BO) กุญแจสู่การเทรดอย่างมืออาชีพ
กลยุทธ์ Breakout (BO) เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังและมีประสิทธิภาพในการเทรด Forex และตลาดหุ้น หากคุณเข้าใจถึงแก่นแท้ของมัน ตั้งแต่ความหมาย, กลไกการเกิดจากพฤติกรรมของนักลงทุนรายใหญ่ (ขาใหญ่), ไปจนถึงเทคนิคการเข้าเทรดในช่วง Retest และการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม คุณจะสามารถเพิ่มโอกาสในการสร้างผลกำไรได้อย่างยั่งยืน
สิ่งสำคัญคือการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ การวิเคราะห์กราฟด้วยความละเอียดรอบคอบ และการประยุกต์ใช้เครื่องมือต่างๆ เพื่อยืนยันสัญญาณ Breakout อย่าลืมว่าการเทรดมีความเสี่ยงเสมอ การบริหารจัดการเงินทุนและวินัยในการเทรดจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
หากคุณต้องการยกระดับการเทรดของคุณไปอีกขั้น เราขอแนะนำให้ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ระบบเทรดอัตโนมัติ (EA) และเข้าร่วมกลุ่ม Line VIP ของเราเพื่อรับเครื่องมือและข้อมูลเชิงลึกที่จะช่วยให้คุณเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น
#แจกฟรี!ระบบเทรด
สำหรับเพื่อนๆ ที่ต้องการใช้ EA indicator และเข้ากลุ่ม Line VIP ฟรี มีเงื่อนไขเพียงเล็กน้อย
เพียงสมัครเปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์ตามลิงค์ด้านล่าง ก็สามารถรับ EA ได้ฟรีทุกตัว และ EA ตัวใหม่ๆ อื่นๆ ได้อีกในอนาคต
- XM – คุณภาพอันดับหนึ่งตลอดสิบปีในไทย: https://bit.ly/XmFree30USD
- Mtrading – สเปรดเริ่มต้นที่ 0 pip ค่าคอมต่ำ: https://bit.ly/MTRatsamee
- Exness – โบรคเกอร์ที่ฝากและถอนเร็วที่สุด: https://bit.ly/ExnessCom
**”เมื่อสมัครเสร็จ ส่งเลข MT4 ไปที่ Line Id- @ft.th เพื่อขอรับ EA ได้ฟรี!”**
ช่องทางการพูดคุย
- Line Id :: @ft.th: https://lin.ee/toIzT8g
- Facebook :: https://fb.com/ForexTipsThailand
- กลุ่มพูดคุย :: เทรดฟอเร็กซ์ให้ได้กำไรอย่างยั่งยืน: https://www.fb.com/groups/1179829495508247
*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจเงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
