เจาะลึกรูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns): คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับนักเทรด
การวิเคราะห์กราฟแท่งเทียน (Candlestick Charts) เป็นหนึ่งในรากฐานสำคัญของการวิเคราะห์ทางเทคนิคในตลาดการเงิน ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น, Forex, คริปโตเคอร์เรนซี หรือสินค้าโภคภัณฑ์ ด้วยลักษณะที่เข้าใจง่ายและให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมราคา ทำให้รูปแบบแท่งเทียนเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับเทรดเดอร์ในการคาดการณ์ทิศทางของตลาดและวางแผนการซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้จะนำเสนอคู่มือฉบับสมบูรณ์เกี่ยวกับรูปแบบแท่งเทียนที่สำคัญ โดยแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ได้แก่ รูปแบบการกลับตัว (Reversal Patterns) และรูปแบบการต่อเนื่อง (Continuation Patterns) พร้อมทั้งอธิบายรายละเอียด ลักษณะการเกิด และนัยยะทางการตลาด เพื่อให้ผู้อ่านสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการตัดสินใจลงทุนได้อย่างมั่นใจ

ทำความเข้าใจพื้นฐานของแท่งเทียน
ก่อนที่จะลงลึกถึงรูปแบบต่างๆ สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจโครงสร้างพื้นฐานของแท่งเทียนแต่ละแท่งก่อน แท่งเทียนแต่ละแท่งจะแสดงข้อมูลราคาในช่วงเวลาหนึ่ง (เช่น 1 นาที, 1 ชั่วโมง, 1 วัน) ประกอบด้วย:
- ลำตัวแท่งเทียน (Real Body): แสดงช่วงราคาเปิดและราคาปิด หากลำตัวเป็นสีเขียว (หรือสีขาว) หมายถึงราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด (Bullish) หากเป็นสีแดง (หรือสีดำ) หมายถึงราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด (Bearish)
- ไส้เทียน/เงาเทียน (Wick/Shadow): เส้นที่ยื่นออกมาจากลำตัว แสดงถึงราคาสูงสุด (Upper Shadow) และราคาต่ำสุด (Lower Shadow) ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น
การรวมกันของลำตัวและไส้เทียนจะบอกเล่าเรื่องราวของการต่อสู้ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย และเป็นพื้นฐานในการตีความรูปแบบแท่งเทียน
รูปแบบแท่งเทียนการกลับตัว (Reversal Patterns)
รูปแบบการกลับตัวบ่งบอกถึงความเป็นไปได้ที่แนวโน้มราคาปัจจุบันกำลังจะสิ้นสุดลงและเปลี่ยนทิศทางไปในทางตรงกันข้าม การระบุรูปแบบเหล่านี้ได้รวดเร็วสามารถช่วยให้เทรดเดอร์เข้าหรือออกจากตำแหน่งได้อย่างทันท่วงที
Tweezers Bottom (ทวิสเซอร์ บอททอม)
คืออะไร:
Tweezers Bottom เป็นรูปแบบการกลับตัวที่เป็นบวก (Bullish Reversal Pattern) ที่เกิดขึ้นที่จุดต่ำสุดของแนวโน้มขาลง ประกอบด้วยแท่งเทียนสองแท่งที่ติดกัน โดยมีราคาต่ำสุด (Low) หรือราคาปิด (Close) ที่เท่ากันหรือใกล้เคียงกันมาก แสดงถึงการปฏิเสธราคาในระดับต่ำอย่างชัดเจน
ลักษณะ:
- แท่งเทียนที่ 1: เป็นแท่งเทียนขาลง (Bearish Candlestick) ที่มีลำตัวสีแดงหรือดำ แสดงถึงแรงขายที่ยังคงมีอิทธิพล
- แท่งเทียนที่ 2: เป็นแท่งเทียนขาขึ้น (Bullish Candlestick) ที่มีลำตัวสีเขียวหรือขาว และมีราคาต่ำสุด (Low) เท่ากับหรือใกล้เคียงกับราคาต่ำสุดของแท่งเทียนแรกมาก บางครั้งอาจมีราคาเปิดหรือราคาปิดที่เท่ากันด้วย
ลักษณะการเกิดและนัยยะ:
รูปแบบนี้มักพบในช่วงปลายของ แนวโน้มขาลง บ่งชี้ว่า ณ จุดราคาต่ำสุดนั้น แรงขายเริ่มหมดลง และแรงซื้อเริ่มเข้ามาตอบโต้ ทำให้ราคาไม่สามารถทำจุดต่ำสุดใหม่ได้ หรือถูกผลักดันกลับขึ้นไปอย่างรวดเร็วหลังจากการทำจุดต่ำสุดเท่าเดิม การที่แท่งเทียนทั้งสองมีระดับราคาต่ำสุดที่เท่ากันอย่างมีนัยสำคัญ แสดงถึงระดับแนวรับที่แข็งแกร่ง ซึ่งตลาดได้ทดสอบแล้วสองครั้งและไม่สามารถทะลุลงไปได้ จึงมีโอกาสสูงที่จะเกิดการกลับตัวเป็นแนวโน้มขาขึ้น
ถ้า…จะเป็นอย่างไร:
หากรูปแบบ Tweezers Bottom เกิดขึ้นพร้อมกับสัญญาณยืนยันอื่นๆ เช่น ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นในแท่งเทียนที่สอง หรือการเคลื่อนไหวของราคาที่สูงขึ้นในแท่งถัดไป ความน่าเชื่อถือของสัญญาณการกลับตัวจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ถ้าแท่งถัดไปยังคงเป็นขาลง หรือไม่สามารถยืนเหนือระดับราคาปิดของแท่งที่สองได้ อาจบ่งชี้ถึงสัญญาณหลอก
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับรูปแบบ Tweezers ได้ที่นี่: Tweezer Tops และ Tweezer Bottoms คืออะไร
Double Bottom (ดับเบิล บอททอม)
คืออะไร:
Double Bottom เป็นรูปแบบการกลับตัวที่เป็นบวก (Bullish Reversal Pattern) ที่มีลักษณะคล้ายตัวอักษร “W” แสดงถึงการที่ราคาปรับตัวลงไปสร้างจุดต่ำสุดสองครั้งในระดับราคาที่ใกล้เคียงกัน และไม่สามารถทำจุดต่ำสุดใหม่ได้ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงแนวโน้มขาลงที่กำลังจะสิ้นสุดลง
ลักษณะ:
- จุดต่ำสุดที่ 1: ราคาร่วงลงมาถึงระดับหนึ่งแล้วเด้งกลับขึ้นไปเล็กน้อย
- จุดสูงสุดชั่วคราว (Neckline): ราคาปรับตัวขึ้นไปถึงระดับหนึ่ง (ซึ่งจะกลายเป็นแนวต้านสำคัญเมื่อรูปแบบสมบูรณ์)
- จุดต่ำสุดที่ 2: ราคาปรับตัวลงมาอีกครั้ง แต่ไม่สามารถทะลุจุดต่ำสุดที่ 1 ลงไปได้ หรือลงมาในระดับที่ใกล้เคียงกันมาก
- การทะลุแนวต้าน (Breakout): ราคาทะลุผ่านจุดสูงสุดชั่วคราว (Neckline) ขึ้นไป ซึ่งเป็นสัญญาณยืนยันการกลับตัว
ลักษณะการเกิดและนัยยะ:
รูปแบบ Double Bottom มักพบในช่วงปลายของแนวโน้มขาลงยาวนาน บ่งบอกถึงการที่แรงขายเริ่มอ่อนแรงลง และแรงซื้อเริ่มเข้ามาสะสมกำลัง การที่ตลาดทดสอบระดับแนวรับเดียวกันถึงสองครั้งและไม่สามารถทำจุดต่ำสุดใหม่ได้ แสดงถึงความแข็งแกร่งของแนวรับนั้น เมื่อราคาทะลุ Neckline ขึ้นไป ยืนยันว่าผู้ซื้อได้เข้าควบคุมตลาดอย่างสมบูรณ์ และมีโอกาสสูงที่ราคาจะปรับตัวขึ้นไปตามเป้าหมายที่วัดจากความสูงของรูปแบบ
ผลลัพธ์เป็นยังไง:
หาก Double Bottom สมบูรณ์และมีการทะลุ Neckline พร้อมปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น มักจะส่งผลให้เกิดการปรับตัวขึ้นของราคาอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีเป้าหมายราคาประมาณจากระยะห่างระหว่างจุดต่ำสุดกับ Neckline
Tweezers Top (ทวิสเซอร์ ท็อป)
คืออะไร:
Tweezers Top เป็นรูปแบบการกลับตัวที่เป็นลบ (Bearish Reversal Pattern) ที่เกิดขึ้นที่จุดสูงสุดของแนวโน้มขาขึ้น ประกอบด้วยแท่งเทียนสองแท่งที่ติดกัน โดยมีราคาสูงสุด (High) หรือราคาปิด (Close) ที่เท่ากันหรือใกล้เคียงกันมาก แสดงถึงการปฏิเสธราคาในระดับสูงอย่างชัดเจน
ลักษณะ:
- แท่งเทียนที่ 1: เป็นแท่งเทียนขาขึ้น (Bullish Candlestick) ที่มีลำตัวสีเขียวหรือขาว แสดงถึงแรงซื้อที่ยังคงมีอิทธิพล
- แท่งเทียนที่ 2: เป็นแท่งเทียนขาลง (Bearish Candlestick) ที่มีลำตัวสีแดงหรือดำ และมีราคาสูงสุด (High) เท่ากับหรือใกล้เคียงกับราคาสูงสุดของแท่งเทียนแรกมาก บางครั้งอาจมีราคาเปิดหรือราคาปิดที่เท่ากันด้วย
ลักษณะการเกิดและนัยยะ:
รูปแบบนี้มักพบในช่วงปลายของแนวโน้มขาขึ้น บ่งชี้ว่า ณ จุดราคาสูงสุดนั้น แรงซื้อเริ่มหมดลง และแรงขายเริ่มเข้ามาตอบโต้ ทำให้ราคาไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้ หรือถูกผลักดันกลับลงมาอย่างรวดเร็วหลังจากการทำจุดสูงสุดเท่าเดิม การที่แท่งเทียนทั้งสองมีระดับราคาสูงสุดที่เท่ากันอย่างมีนัยสำคัญ แสดงถึงระดับแนวต้านที่แข็งแกร่ง ซึ่งตลาดได้ทดสอบแล้วสองครั้งและไม่สามารถทะลุขึ้นไปได้ จึงมีโอกาสสูงที่จะเกิดการกลับตัวเป็นแนวโน้มขาลง
ถ้า…จะเป็นอย่างไร:
หากรูปแบบ Tweezers Top เกิดขึ้นพร้อมกับสัญญาณยืนยันอื่นๆ เช่น ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นในแท่งเทียนที่สอง หรือการเคลื่อนไหวของราคาที่ต่ำลงในแท่งถัดไป ความน่าเชื่อถือของสัญญาณการกลับตัวจะเพิ่มขึ้น แต่ถ้าแท่งถัดไปยังคงเป็นขาขึ้น หรือไม่สามารถยืนต่ำกว่าระดับราคาปิดของแท่งที่สองได้ อาจบ่งชี้ถึงสัญญาณหลอก
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับรูปแบบ Tweezers ได้ที่นี่: Tweezer Tops และ Tweezer Bottoms คืออะไร
Double Top (ดับเบิล ท็อป)
คืออะไร:
Double Top เป็นรูปแบบการกลับตัวที่เป็นลบ (Bearish Reversal Pattern) ที่มีลักษณะคล้ายตัวอักษร “M” แสดงถึงการที่ราคาปรับตัวขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดสองครั้งในระดับราคาที่ใกล้เคียงกัน และไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงแนวโน้มขาขึ้นที่กำลังจะสิ้นสุดลง
ลักษณะ:
- จุดสูงสุดที่ 1: ราคาปรับตัวขึ้นไปถึงระดับหนึ่งแล้วร่วงลงมาเล็กน้อย
- จุดต่ำสุดชั่วคราว (Neckline): ราคาปรับตัวลงมาถึงระดับหนึ่ง (ซึ่งจะกลายเป็นแนวรับสำคัญเมื่อรูปแบบสมบูรณ์)
- จุดสูงสุดที่ 2: ราคาปรับตัวขึ้นไปอีกครั้ง แต่ไม่สามารถทะลุจุดสูงสุดที่ 1 ขึ้นไปได้ หรือขึ้นมาในระดับที่ใกล้เคียงกันมาก
- การทะลุแนวรับ (Breakdown): ราคาร่วงทะลุผ่านจุดต่ำสุดชั่วคราว (Neckline) ลงไป ซึ่งเป็นสัญญาณยืนยันการกลับตัว
ลักษณะการเกิดและนัยยะ:
รูปแบบ Double Top มักพบในช่วงปลายของแนวโน้มขาขึ้นยาวนาน บ่งบอกถึงการที่แรงซื้อเริ่มอ่อนแรงลง และแรงขายเริ่มเข้ามาสะสมกำลัง การที่ตลาดทดสอบระดับแนวต้านเดียวกันถึงสองครั้งและไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้ แสดงถึงความแข็งแกร่งของแนวต้านนั้น เมื่อราคาทะลุ Neckline ลงไป ยืนยันว่าผู้ขายได้เข้าควบคุมตลาดอย่างสมบูรณ์ และมีโอกาสสูงที่ราคาจะปรับตัวลงไปตามเป้าหมายที่วัดจากความสูงของรูปแบบ
ผลลัพธ์เป็นยังไง:
หาก Double Top สมบูรณ์และมีการทะลุ Neckline พร้อมปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น มักจะส่งผลให้เกิดการปรับตัวลงของราคาอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีเป้าหมายราคาประมาณจากระยะห่างระหว่างจุดสูงสุดกับ Neckline
Bullish Harami (ฮารามิขาขึ้น)
คืออะไร:
Bullish Harami เป็นรูปแบบการกลับตัวที่เป็นบวก (Bullish Reversal Pattern) ที่เกิดขึ้นที่จุดต่ำสุดของแนวโน้มขาลง คำว่า “Harami” ในภาษาญี่ปุ่นหมายถึง “หญิงตั้งครรภ์” ซึ่งสะท้อนลักษณะของรูปแบบได้อย่างชัดเจน
ลักษณะ:
- แท่งเทียนที่ 1 (แม่): เป็นแท่งเทียนขาลงขนาดใหญ่ (Large Bearish Candlestick) ที่มีลำตัวสีแดงหรือดำ แสดงถึงแรงขายที่ครอบงำตลาด
- แท่งเทียนที่ 2 (ลูก): เป็นแท่งเทียนขาขึ้นขนาดเล็ก (Small Bullish Candlestick) ที่มีลำตัวสีเขียวหรือขาว โดยลำตัวของแท่งเทียนที่สองจะอยู่ภายในกรอบของลำตัวแท่งเทียนแรกทั้งหมด
ลักษณะการเกิดและนัยยะ:
รูปแบบ Bullish Harami มักพบในช่วงปลายของแนวโน้มขาลง บ่งชี้ถึงการชะลอตัวของแรงขายหลังจากที่แท่งเทียนแรกแสดงถึงความแข็งแกร่งของตลาดขาลง การปรากฏของแท่งเทียนขนาดเล็กที่สองที่อยู่ภายในกรอบของแท่งแรก แสดงให้เห็นว่าแรงขายไม่สามารถผลักดันราคาให้ต่ำลงกว่าเดิมได้มากนัก และแรงซื้อเริ่มเข้ามาเล็กน้อย ทำให้นักเทรดเริ่มลังเลและพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการกลับตัวของราคา สัญญาณนี้ไม่ได้บ่งบอกถึงการกลับตัวที่รุนแรงในทันที แต่เป็นการเตือนถึงการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น
ถ้า…จะเป็นอย่างไร:
หาก Bullish Harami เกิดขึ้นพร้อมกับสัญญาณยืนยันอื่นๆ เช่น การทะลุแนวต้านในแท่งเทียนถัดไป หรือการเคลื่อนไหวของราคาที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในวันรุ่งขึ้น จะเพิ่มความน่าเชื่อถือของสัญญาณการกลับตัวเป็นขาขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หากไม่มีการยืนยัน ราคาอาจยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ หรือกลับไปเป็นขาลงได้
Bearish Harami (ฮารามิขาลง)
คืออะไร:
Bearish Harami เป็นรูปแบบการกลับตัวที่เป็นลบ (Bearish Reversal Pattern) ที่เกิดขึ้นที่จุดสูงสุดของแนวโน้มขาขึ้น มีลักษณะตรงข้ามกับ Bullish Harami
ลักษณะ:
- แท่งเทียนที่ 1 (แม่): เป็นแท่งเทียนขาขึ้นขนาดใหญ่ (Large Bullish Candlestick) ที่มีลำตัวสีเขียวหรือขาว แสดงถึงแรงซื้อที่ครอบงำตลาด
- แท่งเทียนที่ 2 (ลูก): เป็นแท่งเทียนขาลงขนาดเล็ก (Small Bearish Candlestick) ที่มีลำตัวสีแดงหรือดำ โดยลำตัวของแท่งเทียนที่สองจะอยู่ภายในกรอบของลำตัวแท่งเทียนแรกทั้งหมด
ลักษณะการเกิดและนัยยะ:
รูปแบบ Bearish Harami มักพบในช่วงปลายของแนวโน้มขาขึ้น บ่งชี้ถึงการชะลอตัวของแรงซื้อหลังจากที่แท่งเทียนแรกแสดงถึงความแข็งแกร่งของตลาดขาขึ้น การปรากฏของแท่งเทียนขนาดเล็กที่สองที่อยู่ภายในกรอบของแท่งแรก แสดงให้เห็นว่าแรงซื้อไม่สามารถผลักดันราคาให้สูงขึ้นกว่าเดิมได้มากนัก และแรงขายเริ่มเข้ามาเล็กน้อย ทำให้นักเทรดเริ่มลังเลและพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการกลับตัวของราคา สัญญาณนี้ไม่ได้บ่งบอกถึงการกลับตัวที่รุนแรงในทันที แต่เป็นการเตือนถึงการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น
ถ้า…จะเป็นอย่างไร:
หาก Bearish Harami เกิดขึ้นพร้อมกับสัญญาณยืนยันอื่นๆ เช่น การทะลุแนวรับในแท่งเทียนถัดไป หรือการเคลื่อนไหวของราคาที่ต่ำลงอย่างต่อเนื่องในวันรุ่งขึ้น จะเพิ่มความน่าเชื่อถือของสัญญาณการกลับตัวเป็นขาลงอย่างมีนัยสำคัญ หากไม่มีการยืนยัน ราคาอาจยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ หรือกลับไปเป็นขาขึ้นได้
Bullish Pinbar (พินบาร์ขาขึ้น)
คืออะไร:
Bullish Pinbar หรือบางครั้งเรียกว่า Hammer หรือ Dragonfly Doji (ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของราคาเปิดและปิด) เป็นรูปแบบแท่งเทียนการกลับตัวที่เป็นบวก (Bullish Reversal Pattern) ที่แข็งแกร่ง บ่งบอกถึงการปฏิเสธราคาที่ระดับต่ำ
ลักษณะ:
- ลำตัวแท่งเทียนขนาดเล็ก: ลำตัวของแท่งเทียนมีขนาดเล็กมาก และมักจะอยู่บริเวณส่วนบนของช่วงราคา (ใกล้กับราคาสูงสุด)
- ไส้เทียนด้านล่างยาว (Long Lower Shadow): ไส้เทียนด้านล่างจะยาวเป็นอย่างน้อยสองหรือสามเท่าของขนาดลำตัว แสดงว่าราคาได้ลงไปทำจุดต่ำสุดแล้วถูกผลักดันกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
- ไส้เทียนด้านบนสั้นหรือไม่มี: ไส้เทียนด้านบนสั้นมากหรือไม่มีเลย
ลักษณะการเกิดและนัยยะ:
Bullish Pinbar มักพบในช่วงปลายของแนวโน้มขาลง แสดงถึงการที่ผู้ขายพยายามผลักดันราคาให้ต่ำลงไปอย่างมาก แต่กลับถูกผู้ซื้อเข้าควบคุมและผลักดันราคากลับขึ้นมาปิดใกล้เคียงกับราคาเปิดหรือราคาสูงสุดได้สำเร็จ ไส้เทียนด้านล่างที่ยาวเป็นพิเศษแสดงถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่งมาก ณ ระดับราคาต่ำนั้น ๆ บ่งบอกถึงความเป็นไปได้สูงที่ราคาจะกลับตัวเป็นขาขึ้น
เคล็ดลับ:
ความน่าเชื่อถือของ Bullish Pinbar จะสูงขึ้นเมื่อเกิดขึ้นบริเวณแนวรับสำคัญ หรือเมื่อมีปริมาณการซื้อขายสูงในขณะที่เกิดรูปแบบ
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Pinbar ได้ที่นี่: Pin Bar Candlestick Meaning Characteristics Patterns
Bearish Pinbar (พินบาร์ขาลง)
คืออะไร:
Bearish Pinbar หรือบางครั้งเรียกว่า Shooting Star หรือ Gravestone Doji (ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของราคาเปิดและปิด) เป็นรูปแบบแท่งเทียนการกลับตัวที่เป็นลบ (Bearish Reversal Pattern) ที่แข็งแกร่ง บ่งบอกถึงการปฏิเสธราคาที่ระดับสูง
ลักษณะ:
- ลำตัวแท่งเทียนขนาดเล็ก: ลำตัวของแท่งเทียนมีขนาดเล็กมาก และมักจะอยู่บริเวณส่วนล่างของช่วงราคา (ใกล้กับราคาต่ำสุด)
- ไส้เทียนด้านบนยาว (Long Upper Shadow): ไส้เทียนด้านบนจะยาวเป็นอย่างน้อยสองหรือสามเท่าของขนาดลำตัว แสดงว่าราคาได้ขึ้นไปทำจุดสูงสุดแล้วถูกผลักดันกลับลงมาอย่างรวดเร็ว
- ไส้เทียนด้านล่างสั้นหรือไม่มี: ไส้เทียนด้านล่างสั้นมากหรือไม่มีเลย
ลักษณะการเกิดและนัยยะ:
Bearish Pinbar มักพบในช่วงปลายของแนวโน้มขาขึ้น แสดงถึงการที่ผู้ซื้อพยายามผลักดันราคาให้สูงขึ้นไปอย่างมาก แต่กลับถูกผู้ขายเข้าควบคุมและผลักดันราคากลับลงมาปิดใกล้เคียงกับราคาเปิดหรือราคาต่ำสุดได้สำเร็จ ไส้เทียนด้านบนที่ยาวเป็นพิเศษแสดงถึงแรงขายที่แข็งแกร่งมาก ณ ระดับราคาสูงนั้น ๆ บ่งบอกถึงความเป็นไปได้สูงที่ราคาจะกลับตัวเป็นขาลง
เคล็ดลับ:
ความน่าเชื่อถือของ Bearish Pinbar จะสูงขึ้นเมื่อเกิดขึ้นบริเวณแนวต้านสำคัญ หรือเมื่อมีปริมาณการซื้อขายสูงในขณะที่เกิดรูปแบบ
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Pinbar ได้ที่นี่: Pin Bar Candlestick Meaning Characteristics Patterns
รูปแบบแท่งเทียนการต่อเนื่อง (Continuation Patterns)
รูปแบบการต่อเนื่องบ่งบอกถึงการพักตัวของราคาชั่วคราว ก่อนที่จะเคลื่อนที่ต่อไปในทิศทางเดิม การเข้าใจรูปแบบเหล่านี้ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถคาดการณ์ได้ว่าแนวโน้มปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไป
Bullish Pennant (ธงขาขึ้น)
คืออะไร:
Bullish Pennant เป็นรูปแบบการต่อเนื่องที่เป็นบวก (Bullish Continuation Pattern) ที่เกิดขึ้นหลังจากการเคลื่อนไหวของราคาที่แข็งแกร่งขึ้น (Pole) ตามด้วยช่วงการรวมตัวของราคาที่ลดลงในรูปแบบสามเหลี่ยมเล็กๆ คล้ายธง
ลักษณะ:
- เสาธง (Pole): การเคลื่อนไหวของราคาที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วและมีปริมาณการซื้อขายสูง
- ตัวธง (Pennant): หลังจาก Pole ราคาจะมีการพักตัว โดยเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ ที่ค่อยๆ บีบตัวลงเป็นรูปสามเหลี่ยมเล็กๆ โดยมีเส้นแนวโน้มทั้งด้านบนและด้านล่างบรรจบกัน
- การทะลุธง (Breakout): ราคาจะทะลุออกจากรูปแบบสามเหลี่ยม (Pennant) ขึ้นไปในทิศทางเดียวกับ Pole
ลักษณะการเกิดและนัยยะ:
Bullish Pennant มักพบในแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง บ่งบอกถึงการที่ผู้ซื้อได้หยุดพักชั่วคราวเพื่อรวบรวมกำลังและสะสมคำสั่งซื้อขาย ก่อนที่จะผลักดันราคาให้สูงขึ้นต่อไป การบีบตัวของราคาภายในรูปแบบสามเหลี่ยมเล็กๆ แสดงถึงความไม่แน่ใจในระยะสั้น แต่เมื่อราคาทะลุขึ้นไป แสดงว่าแรงซื้อได้กลับมาควบคุมและพร้อมที่จะผลักดันราคาขึ้นสู่ระดับใหม่
ผลลัพธ์เป็นยังไง:
หาก Bullish Pennant สมบูรณ์และมีการทะลุธงขึ้นไปพร้อมปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น มักจะส่งผลให้เกิดการปรับตัวขึ้นของราคาอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีเป้าหมายราคาประมาณจากความสูงของ Pole ที่นำไปวางต่อจากจุด Breakout
Bearish Pennant (ธงขาลง)
คืออะไร:
Bearish Pennant เป็นรูปแบบการต่อเนื่องที่เป็นลบ (Bearish Continuation Pattern) ที่เกิดขึ้นหลังจากการเคลื่อนไหวของราคาที่แข็งแกร่งลง (Pole) ตามด้วยช่วงการรวมตัวของราคาที่ลดลงในรูปแบบสามเหลี่ยมเล็กๆ คล้ายธง
ลักษณะ:
- เสาธง (Pole): การเคลื่อนไหวของราคาที่ร่วงลงอย่างรวดเร็วและมีปริมาณการซื้อขายสูง
- ตัวธง (Pennant): หลังจาก Pole ราคาจะมีการพักตัว โดยเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ ที่ค่อยๆ บีบตัวลงเป็นรูปสามเหลี่ยมเล็กๆ โดยมีเส้นแนวโน้มทั้งด้านบนและด้านล่างบรรจบกัน
- การทะลุธง (Breakout): ราคาจะทะลุออกจากรูปแบบสามเหลี่ยม (Pennant) ลงไปในทิศทางเดียวกับ Pole
ลักษณะการเกิดและนัยยะ:
Bearish Pennant มักพบในแนวโน้มขาลงที่แข็งแกร่ง บ่งบอกถึงการที่ผู้ขายได้หยุดพักชั่วคราวเพื่อรวบรวมกำลังและสะสมคำสั่งขาย ก่อนที่จะผลักดันราคาให้ต่ำลงต่อไป การบีบตัวของราคาภายในรูปแบบสามเหลี่ยมเล็กๆ แสดงถึงความไม่แน่ใจในระยะสั้น แต่เมื่อราคาทะลุลงไป แสดงว่าแรงขายได้กลับมาควบคุมและพร้อมที่จะผลักดันราคาลงสู่ระดับใหม่
ผลลัพธ์เป็นยังไง:
หาก Bearish Pennant สมบูรณ์และมีการทะลุธงลงไปพร้อมปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น มักจะส่งผลให้เกิดการปรับตัวลงของราคาอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีเป้าหมายราคาประมาณจากความสูงของ Pole ที่นำไปวางต่อจากจุด Breakout
Bullish Trap (กับดักขาขึ้น)
คืออะไร:
Bullish Trap หรือกับดักขาขึ้น เป็นสถานการณ์ที่ราคาสินทรัพย์ดูเหมือนจะส่งสัญญาณขาขึ้น แต่กลับกลายเป็นสัญญาณหลอกที่ทำให้เทรดเดอร์ที่เชื่อในสัญญาณนั้นติดกับดักและขาดทุนในที่สุด
ลักษณะ:
- สัญญาณหลอกขาขึ้น: ราคาอาจทะลุแนวต้านสำคัญ หรือสร้างรูปแบบการกลับตัวขาขึ้นที่ดูเหมือนสมบูรณ์
- การดึงกลับอย่างรวดเร็ว: หลังจากที่ราคาดูเหมือนจะขึ้นไปได้ไม่นาน ราคาจะกลับตัวลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทะลุแนวรับสำคัญลงไป
- นักเทรดติดกับดัก: เทรดเดอร์ที่เข้าซื้อตามสัญญาณขาขึ้นจะติดอยู่ในตำแหน่งที่ขาดทุน
ลักษณะการเกิดและนัยยะ:
Bullish Trap มักเกิดขึ้นในตลาดที่มีความผันผวนสูง หรือในช่วงที่มีข่าวสำคัญที่สร้างความสับสนให้กับตลาด อาจเกิดจากการที่รายใหญ่พยายามล่อให้รายย่อยเข้ามาซื้อในระดับราคาสูง ก่อนที่จะเทขายทำกำไรอย่างรวดเร็ว ทำให้ราคาดิ่งลง การเกิด Bullish Trap บ่งบอกถึงความเปราะบางของแนวโน้มขาขึ้น และความได้เปรียบของแรงขายที่ซ่อนอยู่
ป้องกันได้อย่างไร:
เพื่อหลีกเลี่ยง Bullish Trap ควรใช้สัญญาณยืนยันหลายอย่าง เช่น ปริมาณการซื้อขาย, ตัวชี้วัดทางเทคนิคอื่นๆ (RSI, MACD), และพิจารณาปัจจัยพื้นฐานประกอบ นอกจากนี้ ควรตั้ง Stop Loss เสมอเพื่อจำกัดความเสี่ยง
Bearish Trap (กับดักขาลง)
คืออะไร:
Bearish Trap หรือกับดักขาลง เป็นสถานการณ์ที่ราคาสินทรัพย์ดูเหมือนจะส่งสัญญาณขาลง แต่กลับกลายเป็นสัญญาณหลอกที่ทำให้เทรดเดอร์ที่เชื่อในสัญญาณนั้นติดกับดักและขาดทุนในที่สุด
ลักษณะ:
- สัญญาณหลอกขาลง: ราคาอาจทะลุแนวรับสำคัญ หรือสร้างรูปแบบการกลับตัวขาลงที่ดูเหมือนสมบูรณ์
- การดึงกลับอย่างรวดเร็ว: หลังจากที่ราคาดูเหมือนจะลงไปได้ไม่นาน ราคาจะกลับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทะลุแนวต้านสำคัญขึ้นไป
- นักเทรดติดกับดัก: เทรดเดอร์ที่เข้าขายตามสัญญาณขาลงจะติดอยู่ในตำแหน่งที่ขาดทุน (Short Squeeze)
ลักษณะการเกิดและนัยยะ:
Bearish Trap มักเกิดขึ้นในตลาดที่มีความผันผวนสูง หรือในช่วงที่มีข่าวสำคัญที่สร้างความสับสนให้กับตลาด อาจเกิดจากการที่รายใหญ่พยายามล่อให้รายย่อยเข้ามาขายในระดับราคาต่ำ ก่อนที่จะเข้าซื้อสะสมและผลักดันราคาขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ราคาพุ่งขึ้น การเกิด Bearish Trap บ่งบอกถึงความเปราะบางของแนวโน้มขาลง และความได้เปรียบของแรงซื้อที่ซ่อนอยู่
ป้องกันได้อย่างไร:
เช่นเดียวกับ Bullish Trap ควรใช้สัญญาณยืนยันหลายอย่าง เช่น ปริมาณการซื้อขาย, ตัวชี้วัดทางเทคนิคอื่นๆ, และพิจารณาปัจจัยพื้นฐานประกอบ นอกจากนี้ ควรตั้ง Stop Loss เสมอเพื่อจำกัดความเสี่ยง
ตารางสรุปรูปแบบแท่งเทียนที่สำคัญ
| ชื่อรูปแบบ | ประเภท | นัยยะ | ลักษณะสำคัญ | ข้อควรระวัง/เคล็ดลับ |
|---|---|---|---|---|
| Tweezers Bottom | กลับตัว (Bullish) | แนวโน้มขาลงใกล้สิ้นสุด อาจกลับตัวเป็นขาขึ้น | แท่งเทียน 2 แท่ง ราคาต่ำสุดเท่ากัน/ใกล้เคียงมาก | ยืนยันด้วย Volume และแท่งถัดไป |
| Double Bottom | กลับตัว (Bullish) | แนวโน้มขาลงสิ้นสุด มีโอกาสกลับตัวเป็นขาขึ้นแรง | ราคาสร้าง 2 จุดต่ำสุดเท่ากัน รูปตัว W | รอ Breakout แนว Neckline พร้อม Volume |
| Tweezers Top | กลับตัว (Bearish) | แนวโน้มขาขึ้นใกล้สิ้นสุด อาจกลับตัวเป็นขาลง | แท่งเทียน 2 แท่ง ราคาสูงสุดเท่ากัน/ใกล้เคียงมาก | ยืนยันด้วย Volume และแท่งถัดไป |
| Double Top | กลับตัว (Bearish) | แนวโน้มขาขึ้นสิ้นสุด มีโอกาสกลับตัวเป็นขาลงแรง | ราคาสร้าง 2 จุดสูงสุดเท่ากัน รูปตัว M | รอ Breakdown แนว Neckline พร้อม Volume |
| Bullish Harami | กลับตัว (Bullish) | แรงขายชะลอตัว บ่งชี้การกลับตัวเป็นขาขึ้นในระยะถัดไป | แท่งแดงใหญ่ตามด้วยแท่งเขียวเล็กที่อยู่ในกรอบ | เป็นสัญญาณเตือน ต้องรอการยืนยัน |
| Bearish Harami | กลับตัว (Bearish) | แรงซื้อชะลอตัว บ่งชี้การกลับตัวเป็นขาลงในระยะถัดไป | แท่งเขียวใหญ่ตามด้วยแท่งแดงเล็กที่อยู่ในกรอบ | เป็นสัญญาณเตือน ต้องรอการยืนยัน |
| Bullish Pennant | ต่อเนื่อง (Bullish) | แนวโน้มขาขึ้นจะดำเนินต่อไปหลังพักตัว | แท่งยาวขึ้น (Pole) ตามด้วยการพักตัวรูปสามเหลี่ยมเล็กๆ | รอ Breakout ขึ้นไปพร้อม Volume |
| Bearish Pennant | ต่อเนื่อง (Bearish) | แนวโน้มขาลงจะดำเนินต่อไปหลังพักตัว | แท่งยาวลง (Pole) ตามด้วยการพักตัวรูปสามเหลี่ยมเล็กๆ | รอ Breakout ลงไปพร้อม Volume |
| Bullish Pinbar | กลับตัว (Bullish) | แรงซื้อกลับมาควบคุม บ่งชี้การกลับตัวเป็นขาขึ้น | ลำตัวเล็ก ไส้ล่างยาวมาก ไส้บนสั้น/ไม่มี | เกิดที่แนวรับจะน่าเชื่อถือสูง |
| Bearish Pinbar | กลับตัว (Bearish) | แรงขายกลับมาควบคุม บ่งชี้การกลับตัวเป็นขาลง | ลำตัวเล็ก ไส้บนยาวมาก ไส้ล่างสั้น/ไม่มี | เกิดที่แนวต้านจะน่าเชื่อถือสูง |
| Bullish Trap | สัญญาณหลอก (Fakeout) | สัญญาณขาขึ้นปลอม ทำให้ติดดอย | ราคาทะลุแนวต้านหลอกแล้วกลับตัวลงแรง | ใช้สัญญาณยืนยันหลายอย่าง, ตั้ง Stop Loss |
| Bearish Trap | สัญญาณหลอก (Fakeout) | สัญญาณขาลงปลอม ทำให้ Short Squeeze | ราคาทะลุแนวรับหลอกแล้วกลับตัวขึ้นแรง | ใช้สัญญาณยืนยันหลายอย่าง, ตั้ง Stop Loss |
FAQ Section: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับรูปแบบแท่งเทียน
Q1: การใช้รูปแบบแท่งเทียนเพียงอย่างเดียวเพียงพอต่อการตัดสินใจซื้อขายหรือไม่?
A1: การใช้รูปแบบแท่งเทียนเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอต่อการตัดสินใจซื้อขายที่น่าเชื่อถือที่สุด แม้ว่ารูปแบบแท่งเทียนจะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับอารมณ์ของตลาดและพฤติกรรมราคา แต่การพึ่งพาสัญญาณจากแท่งเทียนเพียงอย่างเดียวอาจนำไปสู่สัญญาณหลอก (Fakeout) ได้บ่อยครั้ง เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของการวิเคราะห์ นักเทรดควรรวมการใช้รูปแบบแท่งเทียนเข้ากับการวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ เช่น การดูแนวรับ-แนวต้าน, Moving Averages, RSI, MACD หรือแม้กระทั่งการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของสินทรัพย์นั้นๆ การใช้หลายเครื่องมือร่วมกันจะช่วยยืนยันสัญญาณและลดความเสี่ยงในการตัดสินใจผิดพลาดได้เป็นอย่างดี
Q2: รูปแบบแท่งเทียนประเภทไหนที่น่าเชื่อถือที่สุด?
A2: ไม่มีรูปแบบแท่งเทียนใดที่น่าเชื่อถือ 100% แต่รูปแบบที่มีสัญญาณการกลับตัวที่แข็งแกร่งมักจะประกอบด้วยแท่งเทียนหลายแท่ง หรือมีลักษณะที่ชัดเจน เช่น รูปแบบ Engulfing (Bullish Engulfing/Bearish Engulfing), Hammer/Shooting Star (Pinbar), Morning Star/Evening Star หรือรูปแบบ Three White Soldiers/Three Black Crows รูปแบบเหล่านี้มักจะแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของโมเมนตัมตลาดอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ความน่าเชื่อถือของรูปแบบจะเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเกิดขึ้นในบริบทที่เหมาะสม เช่น ที่แนวรับ/แนวต้านที่แข็งแกร่ง, บน Timeframe ที่ใหญ่ขึ้น (เช่น กราฟรายวันหรือรายสัปดาห์) และได้รับการยืนยันด้วยปริมาณการซื้อขาย (Volume) ที่สูงขึ้น
Q3: Timeframe มีผลต่อความน่าเชื่อถือของรูปแบบแท่งเทียนอย่างไร?
A3: Timeframe หรือกรอบเวลา มีผลอย่างมากต่อความน่าเชื่อถือของรูปแบบแท่งเทียน โดยทั่วไปแล้ว รูปแบบแท่งเทียนที่เกิดขึ้นบน Timeframe ที่ใหญ่ขึ้น (เช่น H4, Daily, Weekly) จะมีความน่าเชื่อถือและมีน้ำหนักมากกว่ารูปแบบที่เกิดขึ้นบน Timeframe ที่เล็กกว่า (เช่น M1, M5, M15) เนื่องจากข้อมูลราคาใน Timeframe ที่ใหญ่กว่านั้นรวบรวมพฤติกรรมของตลาดในช่วงเวลาที่ยาวนานกว่า จึงสะท้อนถึงอารมณ์และการตัดสินใจของผู้เล่นในตลาดได้ชัดเจนกว่าและมีสัญญาณรบกวน (Noise) น้อยกว่า การวิเคราะห์แบบ Multi-Timeframe จึงเป็นสิ่งสำคัญในการยืนยันสัญญาณจากรูปแบบแท่งเทียน
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Multi-Timeframe Analysis ได้ที่นี่: Candlestick Chart Forex Reading Guide: Multi-Timeframe Analysis
Q4: ควรตั้ง Stop Loss เมื่อเทรดตามรูปแบบแท่งเทียนอย่างไร?
A4: การตั้ง Stop Loss (SL) เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการบริหารความเสี่ยงเมื่อเทรดตามรูปแบบแท่งเทียน โดยทั่วไป การตั้ง Stop Loss จะวางไว้เหนือจุดสูงสุดหรือต่ำสุดของรูปแบบแท่งเทียนที่ให้สัญญาณเล็กน้อย เพื่อให้มีพื้นที่สำหรับการเคลื่อนไหวของราคาเล็กน้อยก่อนที่จะยืนยันว่าสัญญาณนั้นไม่ถูกต้อง
- สำหรับรูปแบบกลับตัวขาขึ้น (Bullish Reversal): ควรวาง Stop Loss ไว้ต่ำกว่าจุดต่ำสุดของรูปแบบ (เช่น ต่ำกว่าไส้เทียนด้านล่างของ Pinbar หรือต่ำกว่าจุดต่ำสุดของ Double Bottom)
- สำหรับรูปแบบกลับตัวขาลง (Bearish Reversal): ควรวาง Stop Loss ไว้สูงกว่าจุดสูงสุดของรูปแบบ (เช่น สูงกว่าไส้เทียนด้านบนของ Pinbar หรือสูงกว่าจุดสูงสุดของ Double Top)
การตั้ง Stop Loss ที่เหมาะสมจะช่วยจำกัดการขาดทุนหากตลาดเคลื่อนที่ในทิศทางตรงกันข้ามกับที่คาดการณ์ไว้
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการตั้ง Stop Loss ได้ที่นี่: Stop Loss (SL) คืออะไร?
Q5: รูปแบบแท่งเทียนเหล่านี้สามารถใช้ได้กับสินทรัพย์ทางการเงินทุกประเภทหรือไม่?
A5: โดยหลักการแล้ว รูปแบบแท่งเทียนสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการวิเคราะห์สินทรัพย์ทางการเงินได้เกือบทุกประเภทที่มีการแสดงผลราคาในรูปแบบกราฟแท่งเทียน ไม่ว่าจะเป็นตลาด Forex, หุ้น, สินค้าโภคภัณฑ์ (เช่น ทองคำ, น้ำมัน), ดัชนีหุ้น หรือคริปโตเคอร์เรนซี เนื่องจากรูปแบบแท่งเทียนสะท้อนถึงจิตวิทยาการซื้อขายของมนุษย์ ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกันในทุกตลาด อย่างไรก็ตาม ความแม่นยำและประสิทธิภาพของแต่ละรูปแบบอาจแตกต่างกันไปในแต่ละตลาด ขึ้นอยู่กับสภาพคล่อง, ความผันผวน, และลักษณะเฉพาะของสินทรัพย์นั้นๆ ดังนั้น การทดลองใช้และปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับสินทรัพย์ที่เทรดจึงเป็นสิ่งสำคัญ
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเทรดทองคำได้ที่นี่: กลยุทธ์การเทรดทองคำสำหรับมือใหม่ในตลาด Forex
Conclusion: สรุปและ Call to Action
การทำความเข้าใจและการประยุกต์ใช้รูปแบบแท่งเทียนอย่างเชี่ยวชาญเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับนักเทรดทุกคนในตลาดการเงิน รูปแบบเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้เราอ่านอารมณ์ของตลาดและพฤติกรรมราคาได้เท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการคาดการณ์การกลับตัวและการต่อเนื่องของแนวโน้ม ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจซื้อขายที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สิ่งสำคัญคือการฝึกฝนและเรียนรู้ที่จะใช้รูปแบบแท่งเทียนร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ และการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม การรู้ว่าเมื่อใดควรเข้าและออกจากตลาด จะช่วยให้คุณสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างยั่งยืนและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
หากคุณพร้อมที่จะยกระดับความสามารถในการวิเคราะห์ตลาดของคุณให้เหนือกว่าเดิม เราขอแนะนำให้คุณศึกษาและฝึกฝนรูปแบบแท่งเทียนเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง และนำความรู้ที่ได้ไปทดลองใช้จริงใน บัญชีทดลอง (Demo Account) เพื่อสร้างความมั่นใจก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดจริง ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการเทรด!


