Bid Price และ Ask Price ในตลาด Forex: คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับเทรดเดอร์มืออาชีพ

ในโลกของการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ตลาด Forex (Foreign Exchange Market) นั้น มีองค์ประกอบพื้นฐานหลายประการที่เทรดเดอร์ทุกคน ไม่ว่าจะมือใหม่หรือผู้มีประสบการณ์ จำเป็นต้องทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เพื่อวางแผนกลยุทธ์และบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ หนึ่งในแนวคิดที่สำคัญที่สุดและเป็นหัวใจของการกำหนดราคาในตลาดนี้ คือ Bid Price (ราคาเสนอซื้อ) และ Ask Price (ราคาเสนอขาย) การทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงสองราคานี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณรู้ว่าสามารถซื้อหรือขายคู่สกุลเงินได้ในราคาเท่าใด แต่ยังเผยให้เห็นถึง ต้นทุนในการทำธุรกรรมที่แท้จริง ที่คุณต้องแบกรับอีกด้วย บทความนี้จะเจาะลึกทุกแง่มุมของ Bid และ Ask Price รวมถึงความสัมพันธ์กับ Spread (สเปรด) และผลกระทบต่อกลยุทธ์การเทรดของคุณ
Bid Price และ Ask Price คืออะไรในตลาด Forex?
หัวใจสำคัญของตลาด Forex คือการแลกเปลี่ยนสกุลเงิน โดยที่ทุกการทำธุรกรรมจะเกี่ยวข้องกับสองราคาเสมอ ซึ่งสะท้อนถึงมุมมองของผู้ทำสภาพคล่องหรือโบรกเกอร์
Bid Price (ราคาเสนอซื้อ): มุมมองของโบรกเกอร์ที่ต้องการซื้อ
- คำจำกัดความโดยละเอียด: Bid Price คือราคาที่โบรกเกอร์หรือผู้สร้างสภาพคล่อง (Market Maker) ยินดีที่จะ ซื้อสกุลเงินฐาน (Base Currency) จากเทรดเดอร์ในขณะนั้น ณ ราคาต่ำสุดที่ตลาดพร้อมจะเสนอซื้อ หากคุณเป็นเทรดเดอร์และต้องการขายสินทรัพย์ที่คุณถืออยู่ โบรกเกอร์จะซื้อคืนจากคุณที่ราคา Bid นี้
- มุมมองของเทรดเดอร์: หากคุณต้องการ เปิดสถานะขาย (Sell Position) หรือต้องการ ปิดสถานะซื้อ (Buy Position) ที่คุณมีอยู่ คุณจะต้องทำธุรกรรมที่ราคา Bid นี้ กล่าวคือ คุณจะได้รับเงินจากการขายในราคาที่โบรกเกอร์เสนอซื้อ
- หลักการจำง่ายๆ: จำง่ายๆ ว่า Bid = Buy (โบรกเกอร์ซื้อ) และเป็นราคาที่ Best price to Sell (ราคาดีที่สุดที่คุณจะขายได้)
- ลักษณะสำคัญ: Bid Price จะเป็น ราคาที่ต่ำกว่า เสมอเมื่อเทียบกับ Ask Price ซึ่งเป็นราคาที่คุณจะต้องจ่ายหากต้องการซื้อ
- ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น: โบรกเกอร์ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการซื้อขายและต้องสร้างกำไร การซื้อในราคาต่ำกว่าและขายในราคาสูงกว่าเป็นกลไกพื้นฐานของธุรกิจนี้
Ask Price (ราคาเสนอขาย) หรือ Offer Price: มุมมองของโบรกเกอร์ที่ต้องการขาย
- คำจำกัดความโดยละเอียด: Ask Price หรือบางครั้งเรียกว่า Offer Price คือราคาที่โบรกเกอร์หรือผู้สร้างสภาพคล่อง ยินดีที่จะขายสกุลเงินฐาน ให้กับเทรดเดอร์ในขณะนั้น ณ ราคาสูงสุดที่ตลาดพร้อมจะเสนอขาย หากคุณต้องการเข้าซื้อสินทรัพย์ โบรกเกอร์จะขายให้คุณที่ราคา Ask นี้
- มุมมองของเทรดเดอร์: หากคุณต้องการ เปิดสถานะซื้อ (Buy Position) หรือต้องการ ปิดสถานะขาย (Sell Position) ที่คุณมีอยู่ คุณจะต้องทำธุรกรรมที่ราคา Ask นี้ กล่าวคือ คุณจะต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อในราคาที่โบรกเกอร์เสนอขาย
- หลักการจำง่ายๆ: จำง่ายๆ ว่า Ask = Allow to sell (โบรกเกอร์ขาย) และเป็นราคาที่ Best price to Buy (ราคาดีที่สุดที่คุณจะซื้อได้)
- ลักษณะสำคัญ: Ask Price จะเป็น ราคาที่สูงกว่า เสมอเมื่อเทียบกับ Bid Price ซึ่งเป็นราคาที่คุณจะได้รับหากต้องการขาย
- เหตุผลเบื้องหลัง: เช่นเดียวกับ Bid Price Ask Price เป็นส่วนหนึ่งของกลไกการทำกำไรของโบรกเกอร์ โดยการขายในราคาสูงกว่าที่ซื้อมา
ความสัมพันธ์ของ Bid และ Ask Price ในคู่สกุลเงิน (Currency Pair)
ในตลาด Forex การซื้อขายจะเกิดขึ้นกับ “คู่สกุลเงิน” เสมอ เช่น EUR/USD ซึ่งหมายถึงการแลกเปลี่ยนยูโร (EUR) กับดอลลาร์สหรัฐ (USD) ทุกคู่สกุลเงินจะแสดงด้วยสองราคาคู่กันเสมอ ได้แก่ Bid และ Ask เพื่อให้เทรดเดอร์เห็นภาพรวมของตลาด
ตัวอย่าง: EUR/USD = 1.1200 / 1.1202
- Bid Price (ราคาที่คุณสามารถขาย EUR ได้): 1.1200
- Ask Price (ราคาที่คุณสามารถซื้อ EUR ได้): 1.1202
ความหมายในทางปฏิบัติ:
- หากคุณต้องการ ซื้อ 1 ยูโร (EUR) คุณจะต้องจ่าย 1.1202 ดอลลาร์สหรัฐ (USD) (ซึ่งก็คือราคา Ask) เพราะโบรกเกอร์กำลังขาย EUR ให้กับคุณ
- หากคุณต้องการ ขาย 1 ยูโร (EUR) ที่คุณถือครองอยู่ คุณจะได้รับ 1.1200 ดอลลาร์สหรัฐ (USD) (ซึ่งก็คือราคา Bid) เพราะโบรกเกอร์กำลังซื้อ EUR จากคุณ
ข้อควรทราบ: โดยทั่วไปแล้ว กราฟราคาบนแพลตฟอร์มการซื้อขายส่วนใหญ่ (เช่น MetaTrader 4/5) มักจะแสดงราคา Bid เป็นหลัก หากคุณต้องการดูราคา Ask คุณจะต้องเปิดใช้งานฟังก์ชัน “แสดงเส้น Ask” (Show Ask Line) ในการตั้งค่าแพลตฟอร์มของคุณ
Spread (สเปรด): ต้นทุนแฝงที่สำคัญที่สุด
นอกเหนือจาก Bid และ Ask Price แล้ว อีกหนึ่งแนวคิดที่เทรดเดอร์ทุกคนต้องทำความเข้าใจอย่างละเอียดคือ Spread (สเปรด) ซึ่งเป็นส่วนต่างระหว่างสองราคานี้ และถือเป็นต้นทุนหลักในการทำธุรกรรมในตลาด Forex
Spread คืออะไร?
- คำจำกัดความ: Spread คือ ส่วนต่างระหว่าง Ask Price และ Bid Price มันคือช่องว่างระหว่างราคาที่โบรกเกอร์ยินดีจะซื้อและราคาที่โบรกเกอร์ยินดีจะขาย
- สูตรการคำนวณ Spread:
$$\text{Spread} = \text{Ask Price} – \text{Bid Price}$$ - ตัวอย่างการคำนวณ: จากตัวอย่าง EUR/USD = 1.1200 / 1.1202
- Spread = 1.1202 – 1.1200 = 0.0002 หรือเท่ากับ 2 Pips (Pip ย่อมาจาก Percentage in Point ซึ่งเป็นหน่วยวัดการเปลี่ยนแปลงของราคาในตลาด Forex)
Spread คืออะไรในทางปฏิบัติและผลกระทบต่อเทรดเดอร์?
- ต้นทุนการซื้อขาย: Spread คือ ค่าใช้จ่าย ที่เทรดเดอร์ต้องจ่ายให้กับโบรกเกอร์หรือผู้สร้างสภาพคล่องสำหรับการดำเนินการคำสั่งซื้อขายของคุณ มันคือ ค่าคอมมิชชันแฝง (Implicit Commission) ที่ฝังอยู่ในราคา
- ผลทันทีที่เปิดออเดอร์: เมื่อคุณเปิดสถานะซื้อ (Buy) ที่ราคา Ask ออเดอร์ของคุณจะแสดงผลเป็น ติดลบทันที เท่ากับจำนวน Spread นั่นเอง นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมคุณถึงไม่เห็นกำไรทันทีที่เปิดสถานะ แม้ว่าราคาจะยังไม่ขยับก็ตาม คุณจะต้องรอให้ราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่คุณคาดการณ์และครอบคลุม Spread นี้ก่อน จึงจะเริ่มเห็นกำไร
- ความสำคัญต่อการทำกำไร: Spread ที่กว้างขึ้นจะส่งผลให้ต้นทุนการเทรดสูงขึ้น ทำให้การทำกำไรยากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเทรดเดอร์ที่เน้นการทำกำไรจากส่วนต่างราคาเล็กน้อย (Scalping) หรือการเทรดระยะสั้น
ประเภทของ Spread: Fixed Spread vs. Variable Spread
โบรกเกอร์ Forex เสนอประเภทของ Spread ที่แตกต่างกัน ซึ่งมีผลโดยตรงต่อต้นทุนและความยืดหยุ่นในการซื้อขายของเทรดเดอร์ การเลือกประเภท Spread ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรดและกลยุทธ์ของคุณ
1. Fixed Spread (สเปรดคงที่)
- คำจำกัดความ: Fixed Spread คือ Spread ที่มี ค่าคงที่ ไม่ว่าจะเกิดสภาวะตลาดแบบใดก็ตาม แม้ในช่วงที่มีข่าวเศรษฐกิจสำคัญหรือเหตุการณ์ที่ทำให้ตลาดผันผวนสูง Spread ก็จะยังคงเท่าเดิม
- ข้อดี:
- ง่ายต่อการคำนวณต้นทุน: คุณสามารถคาดการณ์ต้นทุนในการทำธุรกรรมได้อย่างแม่นยำล่วงหน้า ทำให้การวางแผนการเทรดและการบริหารความเสี่ยงง่ายขึ้น
- ความแน่นอน: เทรดเดอร์ไม่ต้องกังวลว่า Spread จะถ่างออกอย่างกะทันหัน ซึ่งอาจส่งผลให้ขาดทุนเกินคาดได้
- ข้อเสีย:
- อาจเกิด Requotes: ในช่วงที่มีความผันผวนสูงและตลาดเคลื่อนไหวรวดเร็ว โบรกเกอร์อาจไม่สามารถดำเนินการคำสั่งของคุณที่ราคาเดิมได้ และจะเสนอราคาใหม่ (Requote) ให้คุณ ซึ่งคุณมีสิทธิ์ที่จะยอมรับหรือปฏิเสธ ทำให้พลาดโอกาสหรือทำให้การดำเนินการล่าช้า
- ราคาอาจไม่สะท้อนตลาดจริงทั้งหมด: โบรกเกอร์ที่เสนอ Fixed Spread มักจะเป็น Market Maker ที่สร้างสภาพคล่องภายในของตนเอง ซึ่งราคาอาจไม่สะท้อนราคาตลาดระหว่างธนาคาร (Interbank Market) โดยตรง
- พบใน: บัญชีประเภท Dealing Desk (DD) หรือ Market Maker ซึ่งโบรกเกอร์จะเป็นคู่กรณีโดยตรงกับการเทรดของคุณ
2. Variable Spread (สเปรดผันผวน)
- คำจำกัดความ: Variable Spread คือ Spread ที่มี ค่าเปลี่ยนแปลง ไปตามสภาวะตลาดจริง (Market Conditions) โดยตรง เช่น อุปสงค์และอุปทาน ปริมาณการซื้อขาย และสภาพคล่องของตลาด
- ข้อดี:
- ไม่ค่อยเกิด Requotes: เนื่องจากโบรกเกอร์ส่งคำสั่งซื้อขายของคุณไปยังตลาดระหว่างธนาคารหรือผู้สร้างสภาพคล่องหลายรายโดยตรง ทำให้มีโอกาสได้ราคาที่ดีที่สุดที่ตลาดเสนอในขณะนั้น และลดปัญหาการ Requote ได้อย่างมาก
- โปร่งใส: Spread สะท้อนถึงสภาพคล่องและกิจกรรมของตลาดจริง ทำให้เทรดเดอร์เห็นภาพของตลาดที่แท้จริงมากขึ้น
- ข้อเสีย:
- อาจถ่างออกอย่างมาก: ในช่วงที่มีข่าวเศรษฐกิจสำคัญที่มีผลกระทบสูง หรือในช่วงที่ตลาดมีสภาพคล่องต่ำ (Low Liquidity) เช่น ช่วงปิดตลาด หรือวันหยุดราชการ Spread อาจจะ ถ่างออก (Widen) อย่างรวดเร็วและมาก ซึ่งอาจส่งผลให้ต้นทุนการเทรดสูงขึ้นอย่างไม่คาดคิด และอาจทำให้คำสั่ง Stop Loss ถูก Trigger ในราคาที่แย่กว่าที่คาดไว้
- ยากต่อการประมาณต้นทุน: การคำนวณต้นทุนการเทรดล่วงหน้าจะทำได้ยากกว่า เนื่องจาก Spread ไม่คงที่
- พบใน: บัญชีประเภท Non-Dealing Desk (NDD) เช่น ECN (Electronic Communication Network) และ STP (Straight Through Processing) ซึ่งโบรกเกอร์เหล่านี้จะส่งคำสั่งของคุณไปยังตลาดจริงโดยไม่ผ่าน Dealing Desk
ปัจจัยที่มีผลต่อ Spread
Spread ไม่ได้เป็นค่าคงที่ในทุกคู่สกุลเงินหรือทุกช่วงเวลาของการซื้อขาย มีหลายปัจจัยที่ส่งผลให้ Spread แคบ (Tight) หรือกว้าง (Wide) ซึ่งเทรดเดอร์ควรทำความเข้าใจเพื่อปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม
1. สภาพคล่อง (Liquidity) ของคู่สกุลเงิน
- ความสัมพันธ์: สภาพคล่องสูง = Spread แคบ, สภาพคล่องต่ำ = Spread กว้าง
- คำอธิบาย:
- คู่สกุลเงินหลัก (Majors): คู่สกุลเงินหลัก เช่น EUR/USD, USD/JPY, GBP/USD มีปริมาณการซื้อขายสูงมากในแต่ละวัน เนื่องจากเป็นสกุลเงินของประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ทำให้มีสภาพคล่องสูง ซึ่งหมายถึงมีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมากตลอดเวลา ส่งผลให้หาคู่ตรงข้ามได้ง่ายและเร็ว ทำให้ Spread ต่ำกว่ามาก
- คู่สกุลเงินรอง (Minors) และคู่สกุลเงินต่างประเทศที่หายาก (Exotics): คู่เหล่านี้มีปริมาณการซื้อขายที่น้อยกว่า ทำให้มีสภาพคล่องต่ำกว่า ส่งผลให้ Spread กว้างกว่า Majors อย่างมีนัยสำคัญ
- คำแนะนำ: เทรดเดอร์ที่เน้นการเทรดระยะสั้นหรือ Scalping มักจะเลือกเทรดคู่สกุลเงินหลักที่มี Spread แคบ เพื่อลดต้นทุนการทำธุรกรรม
2. ช่วงเวลาการซื้อขาย (Trading Sessions)
- ความสัมพันธ์: ช่วงเวลาที่มีการซื้อขายซ้อนทับกัน = Spread แคบ, ช่วงเวลาที่ตลาดเงียบ = Spread กว้าง
- คำอธิบาย:
- ช่วงตลาดเปิดซ้อนทับกัน: ตลาด Forex เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ แต่แบ่งเป็นช่วงเวลาการซื้อขายหลักๆ เช่น ตลาดเอเชีย (โตเกียว), ตลาดลอนดอน (ยุโรป), และตลาดนิวยอร์ก (อเมริกา) ในช่วงเวลาที่ตลาดหลักสองแห่งหรือมากกว่าเปิดทำการพร้อมกัน (เช่น ช่วงบ่ายของยุโรปที่ตลาดลอนดอนและนิวยอร์กเปิดพร้อมกัน) ปริมาณการซื้อขายจะสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้มีสภาพคล่องสูงและ Spread แคบลง
- ช่วงตลาดเงียบ: ในทางกลับกัน ช่วงที่ตลาดมีกิจกรรมน้อย เช่น ช่วงดึกของเอเชีย หรือช่วงก่อนและหลังวันหยุดสำคัญ Spread มักจะกว้างขึ้น เนื่องจากมีผู้สร้างสภาพคล่องน้อยลงและปริมาณการซื้อขายลดลง
3. ข่าวสำคัญและเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ
- ความสัมพันธ์: มีข่าวสำคัญหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน = Spread กว้างขึ้นอย่างรวดเร็ว
- คำอธิบาย:
- ความผันผวนสูง: การประกาศข่าวเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น การตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ย, รายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-Farm Payrolls), หรือการแถลงการณ์ของธนาคารกลาง มักจะทำให้เกิดความผันผวนของราคาอย่างรุนแรงและรวดเร็วในตลาด
- ลดความเสี่ยงของผู้สร้างสภาพคล่อง: เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวของราคาที่คาดเดาได้ยากในช่วงเวลาดังกล่าว ผู้สร้างสภาพคล่อง (Liquidity Providers) และโบรกเกอร์จะขยาย Spread ออกอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันตนเองจากการขาดทุน
- ผลกระทบต่อเทรดเดอร์: เทรดเดอร์ที่เปิดสถานะในช่วงเวลานี้อาจต้องแบกรับต้นทุน Spread ที่สูงขึ้นมาก หรืออาจเผชิญกับ Slippage (ราคาคลาดเคลื่อน) ที่รุนแรงกว่าปกติ
ความสำคัญของ Bid และ Ask Price ต่อกลยุทธ์การเทรด
การทำความเข้าใจ Bid และ Ask Price อย่างละเอียดลออมีผลกระทบโดยตรงต่อการตัดสินใจเข้าและออกจากการซื้อขาย รวมถึงการตั้งค่าคำสั่งต่างๆ ซึ่งส่งผลต่อผลกำไรและขาดทุนของเทรดเดอร์โดยตรง
1. การกำหนดจุดเข้า (Entry Point)
- คำสั่งซื้อ (Buy Order) หรือ Long Position: เมื่อคุณตัดสินใจที่จะ “ซื้อ” คู่สกุลเงิน (เช่น ซื้อ EUR/USD โดยคาดว่า EUR จะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับ USD) คำสั่งซื้อของคุณจะถูกดำเนินการที่ Ask Price เสมอ ไม่ใช่ราคา Bid ที่แสดงบนกราฟหลัก คุณจะต้องจ่ายในราคาที่โบรกเกอร์เสนอขาย
- คำสั่งขาย (Sell Order) หรือ Short Position: เมื่อคุณตัดสินใจที่จะ “ขาย” คู่สกุลเงิน (เช่น ขาย EUR/USD โดยคาดว่า EUR จะอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับ USD) คำสั่งขายของคุณจะถูกดำเนินการที่ Bid Price เสมอ คุณจะได้รับเงินจากการขายในราคาที่โบรกเกอร์เสนอซื้อ
- ข้อควรระวัง: เทรดเดอร์มือใหม่มักจะมองเพียงราคาเส้นเดียวบนกราฟ (ซึ่งโดยปกติคือ Bid Price) และพลาดที่จะพิจารณา Ask Price ซึ่งจะทำให้คำนวณจุดเข้าผิดพลาดไปเท่ากับค่า Spread ทันทีที่เปิดสถานะ
2. การกำหนดจุดออก (Exit Point) และ Stop Loss (SL) / Take Profit (TP)
- การปิดสถานะซื้อ (Close Buy Position): หากคุณเคยเปิดสถานะซื้อไว้ (Long) และต้องการปิดสถานะเพื่อทำกำไรหรือตัดขาดทุน คุณจะต้อง “ขาย” คืนกลับให้โบรกเกอร์ ซึ่งจะดำเนินการที่ Bid Price เท่านั้น
- การปิดสถานะขาย (Close Sell Position): หากคุณเคยเปิดสถานะขายไว้ (Short) และต้องการปิดสถานะเพื่อทำกำไรหรือตัดขาดทุน คุณจะต้อง “ซื้อ” คืนจากโบรกเกอร์ ซึ่งจะดำเนินการที่ Ask Price เท่านั้น
- คำสั่ง Stop Loss (SL):
- สำหรับ สถานะซื้อ (Long Position): คำสั่ง Stop Loss ของคุณจะถูก Trigger เมื่อ Bid Price แตะหรือต่ำกว่าระดับ Stop Loss ที่คุณตั้งไว้
- สำหรับ สถานะขาย (Short Position): คำสั่ง Stop Loss ของคุณจะถูก Trigger เมื่อ Ask Price แตะหรือสูงกว่าระดับ Stop Loss ที่คุณตั้งไว้
- คำสั่ง Take Profit (TP):
- สำหรับ สถานะซื้อ (Long Position): คำสั่ง Take Profit ของคุณจะถูก Trigger เมื่อ Bid Price แตะหรือสูงกว่าระดับ Take Profit ที่คุณตั้งไว้
- สำหรับ สถานะขาย (Short Position): คำสั่ง Take Profit ของคุณจะถูก Trigger เมื่อ Ask Price แตะหรือต่ำกว่าระดับ Take Profit ที่คุณตั้งไว้
- ความสำคัญ: การไม่เข้าใจหลักการนี้อาจทำให้คำสั่ง SL/TP ของคุณถูก Trigger ในราคาที่แตกต่างจากที่คุณคาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ Spread กว้างขึ้น
การวิเคราะห์ Spread เพื่อเลือกโบรกเกอร์ Forex ที่เหมาะสม
การเลือกโบรกเกอร์ที่มี Spread ที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจาก Spread คือต้นทุนโดยตรงในการทำกำไร โบรกเกอร์ที่ดีที่สุดสำหรับคุณคือโบรกเกอร์ที่มี Spread ที่ แคบที่สุด (Tightest) และมีความ เสถียร (Stable) มากที่สุด เมื่อพิจารณาจากประเภทของบัญชีและค่าธรรมเนียมอื่นๆ
| ประเภทเทรดเดอร์ | Spread ที่เหมาะสม | เหตุผลและข้อควรพิจารณา |
| Scalper | ต้องเลือกโบรกเกอร์ ECN ที่มี Spread ต่ำสุด | Scalper เน้นการเข้าออกตลาดอย่างรวดเร็วและบ่อยครั้ง เพื่อเก็บกำไรเล็กน้อย การจ่าย Spread ที่น้อยที่สุดเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง แม้โบรกเกอร์ ECN จะมีค่าคอมมิชชันต่อล็อต (Commission per Lot) แต่เมื่อรวมกับ Spread ที่ต่ำแล้ว มักจะคุ้มค่ากว่าสำหรับ Scalper |
| Day Trader | เน้น Variable Spread ที่แข่งขันได้ในช่วงเวลาซื้อขายหลัก | Day Trader เทรดภายในวันและเปิด/ปิดสถานะหลายครั้งต่อวัน Spread ที่เปลี่ยนแปลงตามสภาพตลาดจริงจะช่วยให้ได้ราคาที่ดีที่สุดในภาวะตลาดปกติ แต่ต้องระมัดระวังการถ่างของ Spread ในช่วงข่าวสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนอย่างมาก ควรเลือกโบรกเกอร์ที่ Spread มีความผันผวนน้อยในช่วงเวลาสำคัญ |
| Swing Trader | Spread มีผลกระทบน้อยกว่า แต่ก็ควรเลือก Spread ที่ต่ำที่สุดเพื่อเพิ่มกำไรสุทธิ | Swing Trader ถือสถานะนานหลายวันหรือหลายสัปดาห์ เป้าหมายกำไรจึงใหญ่กว่า Scalper หรือ Day Trader มาก ทำให้ผลกระทบจาก Spread ต่อแต่ละธุรกรรมน้อยลง อย่างไรก็ตาม การเลือกโบรกเกอร์ที่มี Spread ต่ำยังคงช่วยเพิ่มกำไรสุทธิในระยะยาว และควรพิจารณาเรื่อง Swap Rate (ค่าธรรมเนียมการถือสถานะข้ามคืน) ด้วย |
| Position Trader | Spread มีผลกระทบน้อยที่สุด เน้นค่า Swap และความมั่นคงของโบรกเกอร์ | Position Trader ถือสถานะนานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน การเปลี่ยนแปลงของ Spread เพียงไม่กี่ pip แทบไม่มีผลต่อผลกำไรโดยรวม สิ่งสำคัญกว่าคือค่า Swap ที่ดีและโบรกเกอร์ที่มีความน่าเชื่อถือสูงในระยะยาว |
Slippage (ราคาคลาดเคลื่อน) และผลกระทบจาก Bid/Ask
Slippage (ราคาคลาดเคลื่อน) คือปรากฏการณ์ที่ราคาดำเนินการของคำสั่งซื้อขาย แตกต่าง จากราคาที่เทรดเดอร์ตั้งใจจะเปิดหรือปิดสถานะ โดยอาจได้ราคาที่ดีกว่า (Positive Slippage) หรือแย่กว่า (Negative Slippage) ก็ได้ Slippage มักเกิดขึ้นในช่วงที่มีความผันผวนของตลาดสูง และมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการเคลื่อนไหวของ Bid และ Ask Price
Slippage ในคำสั่ง Buy Limit/Stop
- Buy Limit: เป็นคำสั่งซื้อที่ตั้งไว้ในราคาที่ ต่ำกว่า ราคาตลาดปัจจุบัน หากตลาดเคลื่อนไหวลงมาอย่างรวดเร็วจน Ask Price กระโดดข้ามราคา Limit ของคุณ อาจเกิด Slippage ทำให้คุณได้ราคาที่ดีขึ้น (ต่ำกว่า) หรือแย่ลงเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับความเร็วในการจับคู่คำสั่งและสภาพคล่องในขณะนั้น
- Buy Stop: เป็นคำสั่งซื้อที่ตั้งไว้ในราคาที่ สูงกว่า ราคาตลาดปัจจุบัน เมื่อราคาตลาดขึ้นมาแตะระดับ Buy Stop คำสั่งจะถูก Trigger หากตลาดมีความผันผวนสูง Ask Price อาจพุ่งผ่านราคา Stop ของคุณไปอย่างรวดเร็ว ทำให้คุณได้ราคาเข้าซื้อที่สูงกว่าที่ตั้งใจไว้
Slippage ในคำสั่ง Sell Limit/Stop
- Sell Limit: เป็นคำสั่งขายที่ตั้งไว้ในราคาที่ สูงกว่า ราคาตลาดปัจจุบัน คล้ายกับ Buy Limit หาก Bid Price กระโดดข้ามราคา Limit อาจเกิด Slippage ทำให้ได้ราคาที่ดีขึ้น (สูงกว่า) หรือแย่ลงเล็กน้อย
- Sell Stop: เป็นคำสั่งขายที่ตั้งไว้ในราคาที่ ต่ำกว่า ราคาตลาดปัจจุบัน เมื่อราคาตลาดลงมาแตะระดับ Sell Stop คำสั่งจะถูก Trigger หาก Bid Price พุ่งลงอย่างรุนแรง อาจเกิด Slippage ทำให้คุณได้ราคาขายที่ต่ำกว่าที่ตั้งใจไว้
บทสรุปเกี่ยวกับ Slippage: Slippage มักเกิดขึ้นในช่วงที่ Spread กว้างขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อมีข่าวสำคัญ หรือช่วงที่ตลาดมีสภาพคล่องต่ำ เนื่องจาก Bid และ Ask Price เคลื่อนไหวรุนแรงจนโบรกเกอร์ไม่สามารถรับประกันราคา ณ จุดที่ตั้งไว้ได้ ซึ่งตอกย้ำความสำคัญของการเลือกโบรกเกอร์ที่มีความน่าเชื่อถือและการทำความเข้าใจกลไกราคาอย่างลึกซึ้ง
บทบาทของ Market Maker vs. ECN/STP ในการกำหนด Bid/Ask และ Spread
รูปแบบการดำเนินการคำสั่ง (Execution Model) ของโบรกเกอร์มีอิทธิพลอย่างมากต่อการกำหนด Bid/Ask Price และขนาดของ Spread ที่เทรดเดอร์ต้องเผชิญ การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างโบรกเกอร์ประเภท Market Maker และ ECN/STP จะช่วยให้คุณเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดและเป้าหมายของคุณได้ดียิ่งขึ้น
1. Market Maker (Dealing Desk)
- การกำหนด Bid/Ask: โบรกเกอร์ประเภท Market Maker ทำหน้าที่เป็น คู่กรณีโดยตรง (Counterparty) กับเทรดเดอร์ของคุณ หมายความว่าเมื่อคุณเปิดสถานะซื้อ โบรกเกอร์จะทำหน้าที่เป็นผู้ขายให้คุณ และเมื่อคุณเปิดสถานะขาย โบรกเกอร์จะทำหน้าที่เป็นผู้ซื้อจากคุณ โบรกเกอร์ประเภทนี้ กำหนด Spread เอง ซึ่งมักจะเป็น Fixed Spread (สเปรดคงที่) และปรับราคา Bid/Ask เพื่อให้ตรงกับสภาพคล่องภายในของตนเอง
- แหล่งทำกำไรของโบรกเกอร์: Market Maker จะทำกำไรหลักจาก Spread ที่พวกเขาตั้งขึ้น นอกจากนี้ยังอาจทำกำไรจากสถานะที่เทรดเดอร์ขาดทุน ซึ่งเป็นประเด็นที่มักจะถูกวิพากษ์วิจารณ์
- ข้อเสีย:
- อาจเกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (Conflict of Interest): เนื่องจากโบรกเกอร์เป็นคู่กรณีโดยตรง การขาดทุนของเทรดเดอร์อาจหมายถึงกำไรของโบรกเกอร์ ทำให้เกิดข้อกังขาเรื่องความโปร่งใสและยุติธรรมในการดำเนินการคำสั่ง
- Requotes: ในช่วงตลาดผันผวน อาจเกิด Requotes บ่อยครั้ง ซึ่งทำให้เทรดเดอร์พลาดโอกาสหรือต้องยอมรับราคาที่แย่กว่าที่คาดไว้
- ข้อดี: เหมาะสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ที่ต้องการความเรียบง่ายและ Spread ที่คาดเดาได้ มักมีบัญชีขนาดเล็กที่เข้าถึงได้ง่าย
2. ECN/STP (Non-Dealing Desk)
- การกำหนด Bid/Ask: โบรกเกอร์ประเภท ECN (Electronic Communication Network) และ STP (Straight Through Processing) เป็นโบรกเกอร์แบบ Non-Dealing Desk พวกเขาจะส่งคำสั่งซื้อขายของคุณไปยัง ผู้สร้างสภาพคล่อง (Liquidity Providers) หลายรายโดยตรง เช่น ธนาคารขนาดใหญ่, กองทุนเฮดจ์ฟันด์ และโบรกเกอร์รายอื่นๆ Spread ที่เทรดเดอร์เห็นคือ ราคาที่ดีที่สุด ที่มาจากแหล่งสภาพคล่องเหล่านั้นในขณะนั้น ซึ่งเป็น Variable Spread (สเปรดผันผวน)
- แหล่งทำกำไรของโบรกเกอร์: ECN/STP มักทำกำไรจาก ค่าคอมมิชชัน (Commission) ต่อการเทรด 1 ล็อต แทนที่จะทำกำไรจาก Spread โดยตรง (แม้จะมี Spread อยู่ก็ตาม ซึ่ง Spread นั้นจะแคบมากและเป็นไปตามตลาดจริง)
- ข้อดี:
- โปร่งใสสูง: เทรดเดอร์เข้าถึงราคาตลาดระหว่างธนาคาร (Interbank Price) โดยตรง ทำให้การซื้อขายมีความยุติธรรมและโปร่งใสมากขึ้น
- ไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์: โบรกเกอร์ไม่ได้เป็นคู่กรณีโดยตรงกับเทรดเดอร์ ทำให้ผลประโยชน์ของโบรกเกอร์สอดคล้องกับผลประโยชน์ของเทรดเดอร์ (คือเทรดเดอร์เทรดมาก โบรกเกอร์ก็ได้ค่าคอมมิชชันมาก)
- ไม่มี Requotes: คำสั่งจะถูกดำเนินการด้วยความเร็วสูงและไม่มี Requotes (แต่ยังคงเกิด Slippage ได้ในบางกรณี)
- ข้อเสีย: มักจะมีข้อกำหนดเงินทุนเริ่มต้นที่สูงกว่า และอาจมีค่าคอมมิชชันเพิ่มเติม
สรุปและเคล็ดลับการนำ Bid และ Ask Price ไปใช้จริงในการเทรด Forex
การทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับ Bid Price และ Ask Price รวมถึง Spread ที่เกี่ยวข้อง เป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองข้ามได้สำหรับเทรดเดอร์ทุกคนในตลาด Forex ความรู้เหล่านี้คือรากฐานสำคัญในการวางกลยุทธ์การเทรด การบริหารจัดการความเสี่ยง และการคำนวณผลกำไรขาดทุนที่แท้จริง
- การเปิดสถานะซื้อ (Long Position): คุณจะดำเนินการที่ Ask Price และเมื่อต้องการปิดสถานะ คุณจะต้องขายคืนที่ Bid Price
- การเปิดสถานะขาย (Short Position): คุณจะดำเนินการที่ Bid Price และเมื่อต้องการปิดสถานะ คุณจะต้องซื้อคืนที่ Ask Price
- กำไรสุทธิ: กำไรที่คุณเห็นบนหน้าจอแพลตฟอร์มการซื้อขายคือ กำไรขั้นต้น ก่อนที่จะหัก Spread ออกไปจากธุรกรรมการปิดสถานะเสมอ คุณต้องนำ Spread มารวมในการคำนวณจุดคุ้มทุน (Break-even Point) และเป้าหมายกำไรของคุณ
- การเลือกคู่สกุลเงิน:
- คู่สกุลเงินที่มี Spread ต่ำ (เช่น Majors) เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่เทรดบ่อยครั้ง เช่น Scalper หรือ Day Trader เพื่อลดต้นทุนการทำธุรกรรม
- คู่สกุลเงินที่มี Spread สูง (เช่น Exotics หรือ XAU/USD (ทองคำ)) เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ระยะยาว (Swing Trader, Position Trader) ที่มีเป้าหมายกำไรต่อครั้งที่ใหญ่กว่า ทำให้ผลกระทบจาก Spread มีความสำคัญน้อยลง
เคล็ดลับสำคัญสำหรับเทรดเดอร์ทุกคน:
ก่อนเปิดออเดอร์ทุกครั้ง ให้คุณ ตรวจสอบ Bid และ Ask Price บนแพลตฟอร์มการซื้อขายของคุณ (เช่น MetaTrader 4/5) เสมอ โดยการเปิดใช้งาน “แสดงเส้น Ask” เพื่อให้เห็นราคา Ask Line บนกราฟ ซึ่งจะช่วยให้คุณเข้าใจ ต้นทุนจริง ของการทำธุรกรรมและสามารถตัดสินใจเข้าและออกได้อย่างชาญฉลาดมากยิ่งขึ้น
การเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับการคาดเดาทิศทางราคาอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงความสามารถในการเข้าใจกลไกพื้นฐานของตลาด และการบริหารจัดการต้นทุนการซื้อขายอย่างมีประสิทธิภาพ Bid และ Ask Price เป็นประตูบานแรกสู่ความเข้าใจนั้น จงเรียนรู้และประยุกต์ใช้มันอย่างรอบคอบเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในตลาด Forex ที่เต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทาย
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับ Bid Price และ Ask Price ในตลาด Forex
Q1: Bid Price และ Ask Price คืออะไร?
A1: Bid Price คือราคาที่โบรกเกอร์ยินดีจะซื้อสกุลเงินฐานจากเทรดเดอร์ (ราคาที่คุณสามารถขายได้) ส่วน Ask Price (หรือ Offer Price) คือราคาที่โบรกเกอร์ยินดีจะขายสกุลเงินฐานให้กับเทรดเดอร์ (ราคาที่คุณสามารถซื้อได้) โดย Bid Price จะต่ำกว่า Ask Price เสมอ
Q2: Spread (สเปรด) คืออะไร และทำไมจึงสำคัญ?
A2: Spread คือส่วนต่างระหว่าง Ask Price และ Bid Price ซึ่งถือเป็นต้นทุนหลักในการทำธุรกรรมในตลาด Forex มันคือค่าคอมมิชชันแฝงที่คุณจ่ายให้กับโบรกเกอร์ การเข้าใจ Spread สำคัญเพราะมันส่งผลโดยตรงต่อกำไรขาดทุนของคุณ ยิ่ง Spread แคบ ต้นทุนยิ่งต่ำ
Q3: ทำไมเมื่อเปิดออเดอร์ซื้อถึงติดลบทันที?
A3: เมื่อคุณเปิดออเดอร์ซื้อ (Buy) คุณจะซื้อที่ Ask Price แต่เมื่อออเดอร์เปิดขึ้นมา ระบบจะแสดงราคาปัจจุบันบนกราฟซึ่งมักจะเป็น Bid Price (ราคาที่คุณจะขายคืนได้) ช่องว่างระหว่าง Ask Price ที่คุณซื้อกับ Bid Price ที่คุณจะขายคืนได้ทันที คือ Spread ซึ่งเป็นต้นทุนที่คุณต้องจ่าย จึงทำให้ออเดอร์ติดลบทันทีเท่ากับค่า Spread
Q4: Fixed Spread กับ Variable Spread แตกต่างกันอย่างไร?
A4: Fixed Spread คือ Spread ที่มีค่าคงที่ ไม่ว่าจะเกิดสภาวะตลาดแบบใดก็ตาม เหมาะสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ที่ต้องการความแน่นอนของต้นทุน ส่วน Variable Spread คือ Spread ที่มีค่าเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะตลาดจริง (อุปสงค์และอุปทาน) มักจะพบในบัญชี ECN/STP และมีข้อดีคือไม่ค่อยเกิด Requotes แต่ Spread อาจถ่างออกมากในช่วงข่าวสำคัญ
Q5: ปัจจัยใดบ้างที่ทำให้ Spread กว้างขึ้น?
A5: ปัจจัยหลักที่ทำให้ Spread กว้างขึ้น ได้แก่:
- สภาพคล่องต่ำ: คู่สกุลเงินที่มีปริมาณการซื้อขายน้อย
- ช่วงเวลาตลาดเงียบ: เช่น ช่วงปิดตลาด หรือช่วงวันหยุด
- ข่าวเศรษฐกิจสำคัญ: การประกาศข่าวที่มีผลกระทบสูง ทำให้เกิดความผันผวนและความไม่แน่นอน


