TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
ระบบเทรดสั้น

Bid และ Ask Price ใน Forex คืออะไร? คู่มือฉบับสมบูรณ์

ตุลาคม 6, 2022

Bid Price และ Ask Price ในตลาด Forex: คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับเทรดเดอร์มืออาชีพ

ในโลกของการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ตลาด Forex (Foreign Exchange Market) นั้น มีองค์ประกอบพื้นฐานหลายประการที่เทรดเดอร์ทุกคน ไม่ว่าจะมือใหม่หรือผู้มีประสบการณ์ จำเป็นต้องทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เพื่อวางแผนกลยุทธ์และบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ หนึ่งในแนวคิดที่สำคัญที่สุดและเป็นหัวใจของการกำหนดราคาในตลาดนี้ คือ Bid Price (ราคาเสนอซื้อ) และ Ask Price (ราคาเสนอขาย) การทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงสองราคานี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณรู้ว่าสามารถซื้อหรือขายคู่สกุลเงินได้ในราคาเท่าใด แต่ยังเผยให้เห็นถึง ต้นทุนในการทำธุรกรรมที่แท้จริง ที่คุณต้องแบกรับอีกด้วย บทความนี้จะเจาะลึกทุกแง่มุมของ Bid และ Ask Price รวมถึงความสัมพันธ์กับ Spread (สเปรด) และผลกระทบต่อกลยุทธ์การเทรดของคุณ

Bid Price และ Ask Price คืออะไรในตลาด Forex?

หัวใจสำคัญของตลาด Forex คือการแลกเปลี่ยนสกุลเงิน โดยที่ทุกการทำธุรกรรมจะเกี่ยวข้องกับสองราคาเสมอ ซึ่งสะท้อนถึงมุมมองของผู้ทำสภาพคล่องหรือโบรกเกอร์

Bid Price (ราคาเสนอซื้อ): มุมมองของโบรกเกอร์ที่ต้องการซื้อ

  • คำจำกัดความโดยละเอียด: Bid Price คือราคาที่โบรกเกอร์หรือผู้สร้างสภาพคล่อง (Market Maker) ยินดีที่จะ ซื้อสกุลเงินฐาน (Base Currency) จากเทรดเดอร์ในขณะนั้น ณ ราคาต่ำสุดที่ตลาดพร้อมจะเสนอซื้อ หากคุณเป็นเทรดเดอร์และต้องการขายสินทรัพย์ที่คุณถืออยู่ โบรกเกอร์จะซื้อคืนจากคุณที่ราคา Bid นี้
  • มุมมองของเทรดเดอร์: หากคุณต้องการ เปิดสถานะขาย (Sell Position) หรือต้องการ ปิดสถานะซื้อ (Buy Position) ที่คุณมีอยู่ คุณจะต้องทำธุรกรรมที่ราคา Bid นี้ กล่าวคือ คุณจะได้รับเงินจากการขายในราคาที่โบรกเกอร์เสนอซื้อ
  • หลักการจำง่ายๆ: จำง่ายๆ ว่า Bid = Buy (โบรกเกอร์ซื้อ) และเป็นราคาที่ Best price to Sell (ราคาดีที่สุดที่คุณจะขายได้)
  • ลักษณะสำคัญ: Bid Price จะเป็น ราคาที่ต่ำกว่า เสมอเมื่อเทียบกับ Ask Price ซึ่งเป็นราคาที่คุณจะต้องจ่ายหากต้องการซื้อ
  • ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น: โบรกเกอร์ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการซื้อขายและต้องสร้างกำไร การซื้อในราคาต่ำกว่าและขายในราคาสูงกว่าเป็นกลไกพื้นฐานของธุรกิจนี้

Ask Price (ราคาเสนอขาย) หรือ Offer Price: มุมมองของโบรกเกอร์ที่ต้องการขาย

  • คำจำกัดความโดยละเอียด: Ask Price หรือบางครั้งเรียกว่า Offer Price คือราคาที่โบรกเกอร์หรือผู้สร้างสภาพคล่อง ยินดีที่จะขายสกุลเงินฐาน ให้กับเทรดเดอร์ในขณะนั้น ณ ราคาสูงสุดที่ตลาดพร้อมจะเสนอขาย หากคุณต้องการเข้าซื้อสินทรัพย์ โบรกเกอร์จะขายให้คุณที่ราคา Ask นี้
  • มุมมองของเทรดเดอร์: หากคุณต้องการ เปิดสถานะซื้อ (Buy Position) หรือต้องการ ปิดสถานะขาย (Sell Position) ที่คุณมีอยู่ คุณจะต้องทำธุรกรรมที่ราคา Ask นี้ กล่าวคือ คุณจะต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อในราคาที่โบรกเกอร์เสนอขาย
  • หลักการจำง่ายๆ: จำง่ายๆ ว่า Ask = Allow to sell (โบรกเกอร์ขาย) และเป็นราคาที่ Best price to Buy (ราคาดีที่สุดที่คุณจะซื้อได้)
  • ลักษณะสำคัญ: Ask Price จะเป็น ราคาที่สูงกว่า เสมอเมื่อเทียบกับ Bid Price ซึ่งเป็นราคาที่คุณจะได้รับหากต้องการขาย
  • เหตุผลเบื้องหลัง: เช่นเดียวกับ Bid Price Ask Price เป็นส่วนหนึ่งของกลไกการทำกำไรของโบรกเกอร์ โดยการขายในราคาสูงกว่าที่ซื้อมา

ความสัมพันธ์ของ Bid และ Ask Price ในคู่สกุลเงิน (Currency Pair)

ในตลาด Forex การซื้อขายจะเกิดขึ้นกับ “คู่สกุลเงิน” เสมอ เช่น EUR/USD ซึ่งหมายถึงการแลกเปลี่ยนยูโร (EUR) กับดอลลาร์สหรัฐ (USD) ทุกคู่สกุลเงินจะแสดงด้วยสองราคาคู่กันเสมอ ได้แก่ Bid และ Ask เพื่อให้เทรดเดอร์เห็นภาพรวมของตลาด

ตัวอย่าง: EUR/USD = 1.1200 / 1.1202

  • Bid Price (ราคาที่คุณสามารถขาย EUR ได้): 1.1200
  • Ask Price (ราคาที่คุณสามารถซื้อ EUR ได้): 1.1202

ความหมายในทางปฏิบัติ:

  1. หากคุณต้องการ ซื้อ 1 ยูโร (EUR) คุณจะต้องจ่าย 1.1202 ดอลลาร์สหรัฐ (USD) (ซึ่งก็คือราคา Ask) เพราะโบรกเกอร์กำลังขาย EUR ให้กับคุณ
  2. หากคุณต้องการ ขาย 1 ยูโร (EUR) ที่คุณถือครองอยู่ คุณจะได้รับ 1.1200 ดอลลาร์สหรัฐ (USD) (ซึ่งก็คือราคา Bid) เพราะโบรกเกอร์กำลังซื้อ EUR จากคุณ

ข้อควรทราบ: โดยทั่วไปแล้ว กราฟราคาบนแพลตฟอร์มการซื้อขายส่วนใหญ่ (เช่น MetaTrader 4/5) มักจะแสดงราคา Bid เป็นหลัก หากคุณต้องการดูราคา Ask คุณจะต้องเปิดใช้งานฟังก์ชัน “แสดงเส้น Ask” (Show Ask Line) ในการตั้งค่าแพลตฟอร์มของคุณ

Spread (สเปรด): ต้นทุนแฝงที่สำคัญที่สุด

นอกเหนือจาก Bid และ Ask Price แล้ว อีกหนึ่งแนวคิดที่เทรดเดอร์ทุกคนต้องทำความเข้าใจอย่างละเอียดคือ Spread (สเปรด) ซึ่งเป็นส่วนต่างระหว่างสองราคานี้ และถือเป็นต้นทุนหลักในการทำธุรกรรมในตลาด Forex

Spread คืออะไร?

  • คำจำกัดความ: Spread คือ ส่วนต่างระหว่าง Ask Price และ Bid Price มันคือช่องว่างระหว่างราคาที่โบรกเกอร์ยินดีจะซื้อและราคาที่โบรกเกอร์ยินดีจะขาย
  • สูตรการคำนวณ Spread:
    $$\text{Spread} = \text{Ask Price} – \text{Bid Price}$$
  • ตัวอย่างการคำนวณ: จากตัวอย่าง EUR/USD = 1.1200 / 1.1202
    • Spread = 1.1202 – 1.1200 = 0.0002 หรือเท่ากับ 2 Pips (Pip ย่อมาจาก Percentage in Point ซึ่งเป็นหน่วยวัดการเปลี่ยนแปลงของราคาในตลาด Forex)

Spread คืออะไรในทางปฏิบัติและผลกระทบต่อเทรดเดอร์?

  • ต้นทุนการซื้อขาย: Spread คือ ค่าใช้จ่าย ที่เทรดเดอร์ต้องจ่ายให้กับโบรกเกอร์หรือผู้สร้างสภาพคล่องสำหรับการดำเนินการคำสั่งซื้อขายของคุณ มันคือ ค่าคอมมิชชันแฝง (Implicit Commission) ที่ฝังอยู่ในราคา
  • ผลทันทีที่เปิดออเดอร์: เมื่อคุณเปิดสถานะซื้อ (Buy) ที่ราคา Ask ออเดอร์ของคุณจะแสดงผลเป็น ติดลบทันที เท่ากับจำนวน Spread นั่นเอง นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมคุณถึงไม่เห็นกำไรทันทีที่เปิดสถานะ แม้ว่าราคาจะยังไม่ขยับก็ตาม คุณจะต้องรอให้ราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่คุณคาดการณ์และครอบคลุม Spread นี้ก่อน จึงจะเริ่มเห็นกำไร
  • ความสำคัญต่อการทำกำไร: Spread ที่กว้างขึ้นจะส่งผลให้ต้นทุนการเทรดสูงขึ้น ทำให้การทำกำไรยากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเทรดเดอร์ที่เน้นการทำกำไรจากส่วนต่างราคาเล็กน้อย (Scalping) หรือการเทรดระยะสั้น

ประเภทของ Spread: Fixed Spread vs. Variable Spread

โบรกเกอร์ Forex เสนอประเภทของ Spread ที่แตกต่างกัน ซึ่งมีผลโดยตรงต่อต้นทุนและความยืดหยุ่นในการซื้อขายของเทรดเดอร์ การเลือกประเภท Spread ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรดและกลยุทธ์ของคุณ

1. Fixed Spread (สเปรดคงที่)

  • คำจำกัดความ: Fixed Spread คือ Spread ที่มี ค่าคงที่ ไม่ว่าจะเกิดสภาวะตลาดแบบใดก็ตาม แม้ในช่วงที่มีข่าวเศรษฐกิจสำคัญหรือเหตุการณ์ที่ทำให้ตลาดผันผวนสูง Spread ก็จะยังคงเท่าเดิม
  • ข้อดี:
    • ง่ายต่อการคำนวณต้นทุน: คุณสามารถคาดการณ์ต้นทุนในการทำธุรกรรมได้อย่างแม่นยำล่วงหน้า ทำให้การวางแผนการเทรดและการบริหารความเสี่ยงง่ายขึ้น
    • ความแน่นอน: เทรดเดอร์ไม่ต้องกังวลว่า Spread จะถ่างออกอย่างกะทันหัน ซึ่งอาจส่งผลให้ขาดทุนเกินคาดได้
  • ข้อเสีย:
    • อาจเกิด Requotes: ในช่วงที่มีความผันผวนสูงและตลาดเคลื่อนไหวรวดเร็ว โบรกเกอร์อาจไม่สามารถดำเนินการคำสั่งของคุณที่ราคาเดิมได้ และจะเสนอราคาใหม่ (Requote) ให้คุณ ซึ่งคุณมีสิทธิ์ที่จะยอมรับหรือปฏิเสธ ทำให้พลาดโอกาสหรือทำให้การดำเนินการล่าช้า
    • ราคาอาจไม่สะท้อนตลาดจริงทั้งหมด: โบรกเกอร์ที่เสนอ Fixed Spread มักจะเป็น Market Maker ที่สร้างสภาพคล่องภายในของตนเอง ซึ่งราคาอาจไม่สะท้อนราคาตลาดระหว่างธนาคาร (Interbank Market) โดยตรง
  • พบใน: บัญชีประเภท Dealing Desk (DD) หรือ Market Maker ซึ่งโบรกเกอร์จะเป็นคู่กรณีโดยตรงกับการเทรดของคุณ

2. Variable Spread (สเปรดผันผวน)

  • คำจำกัดความ: Variable Spread คือ Spread ที่มี ค่าเปลี่ยนแปลง ไปตามสภาวะตลาดจริง (Market Conditions) โดยตรง เช่น อุปสงค์และอุปทาน ปริมาณการซื้อขาย และสภาพคล่องของตลาด
  • ข้อดี:
    • ไม่ค่อยเกิด Requotes: เนื่องจากโบรกเกอร์ส่งคำสั่งซื้อขายของคุณไปยังตลาดระหว่างธนาคารหรือผู้สร้างสภาพคล่องหลายรายโดยตรง ทำให้มีโอกาสได้ราคาที่ดีที่สุดที่ตลาดเสนอในขณะนั้น และลดปัญหาการ Requote ได้อย่างมาก
    • โปร่งใส: Spread สะท้อนถึงสภาพคล่องและกิจกรรมของตลาดจริง ทำให้เทรดเดอร์เห็นภาพของตลาดที่แท้จริงมากขึ้น
  • ข้อเสีย:
    • อาจถ่างออกอย่างมาก: ในช่วงที่มีข่าวเศรษฐกิจสำคัญที่มีผลกระทบสูง หรือในช่วงที่ตลาดมีสภาพคล่องต่ำ (Low Liquidity) เช่น ช่วงปิดตลาด หรือวันหยุดราชการ Spread อาจจะ ถ่างออก (Widen) อย่างรวดเร็วและมาก ซึ่งอาจส่งผลให้ต้นทุนการเทรดสูงขึ้นอย่างไม่คาดคิด และอาจทำให้คำสั่ง Stop Loss ถูก Trigger ในราคาที่แย่กว่าที่คาดไว้
    • ยากต่อการประมาณต้นทุน: การคำนวณต้นทุนการเทรดล่วงหน้าจะทำได้ยากกว่า เนื่องจาก Spread ไม่คงที่
  • พบใน: บัญชีประเภท Non-Dealing Desk (NDD) เช่น ECN (Electronic Communication Network) และ STP (Straight Through Processing) ซึ่งโบรกเกอร์เหล่านี้จะส่งคำสั่งของคุณไปยังตลาดจริงโดยไม่ผ่าน Dealing Desk

ปัจจัยที่มีผลต่อ Spread

Spread ไม่ได้เป็นค่าคงที่ในทุกคู่สกุลเงินหรือทุกช่วงเวลาของการซื้อขาย มีหลายปัจจัยที่ส่งผลให้ Spread แคบ (Tight) หรือกว้าง (Wide) ซึ่งเทรดเดอร์ควรทำความเข้าใจเพื่อปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม

1. สภาพคล่อง (Liquidity) ของคู่สกุลเงิน

  • ความสัมพันธ์: สภาพคล่องสูง = Spread แคบ, สภาพคล่องต่ำ = Spread กว้าง
  • คำอธิบาย:
    • คู่สกุลเงินหลัก (Majors): คู่สกุลเงินหลัก เช่น EUR/USD, USD/JPY, GBP/USD มีปริมาณการซื้อขายสูงมากในแต่ละวัน เนื่องจากเป็นสกุลเงินของประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ทำให้มีสภาพคล่องสูง ซึ่งหมายถึงมีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมากตลอดเวลา ส่งผลให้หาคู่ตรงข้ามได้ง่ายและเร็ว ทำให้ Spread ต่ำกว่ามาก
    • คู่สกุลเงินรอง (Minors) และคู่สกุลเงินต่างประเทศที่หายาก (Exotics): คู่เหล่านี้มีปริมาณการซื้อขายที่น้อยกว่า ทำให้มีสภาพคล่องต่ำกว่า ส่งผลให้ Spread กว้างกว่า Majors อย่างมีนัยสำคัญ
  • คำแนะนำ: เทรดเดอร์ที่เน้นการเทรดระยะสั้นหรือ Scalping มักจะเลือกเทรดคู่สกุลเงินหลักที่มี Spread แคบ เพื่อลดต้นทุนการทำธุรกรรม

2. ช่วงเวลาการซื้อขาย (Trading Sessions)

  • ความสัมพันธ์: ช่วงเวลาที่มีการซื้อขายซ้อนทับกัน = Spread แคบ, ช่วงเวลาที่ตลาดเงียบ = Spread กว้าง
  • คำอธิบาย:
    • ช่วงตลาดเปิดซ้อนทับกัน: ตลาด Forex เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ แต่แบ่งเป็นช่วงเวลาการซื้อขายหลักๆ เช่น ตลาดเอเชีย (โตเกียว), ตลาดลอนดอน (ยุโรป), และตลาดนิวยอร์ก (อเมริกา) ในช่วงเวลาที่ตลาดหลักสองแห่งหรือมากกว่าเปิดทำการพร้อมกัน (เช่น ช่วงบ่ายของยุโรปที่ตลาดลอนดอนและนิวยอร์กเปิดพร้อมกัน) ปริมาณการซื้อขายจะสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้มีสภาพคล่องสูงและ Spread แคบลง
    • ช่วงตลาดเงียบ: ในทางกลับกัน ช่วงที่ตลาดมีกิจกรรมน้อย เช่น ช่วงดึกของเอเชีย หรือช่วงก่อนและหลังวันหยุดสำคัญ Spread มักจะกว้างขึ้น เนื่องจากมีผู้สร้างสภาพคล่องน้อยลงและปริมาณการซื้อขายลดลง

3. ข่าวสำคัญและเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ

  • ความสัมพันธ์: มีข่าวสำคัญหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน = Spread กว้างขึ้นอย่างรวดเร็ว
  • คำอธิบาย:
    • ความผันผวนสูง: การประกาศข่าวเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น การตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ย, รายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-Farm Payrolls), หรือการแถลงการณ์ของธนาคารกลาง มักจะทำให้เกิดความผันผวนของราคาอย่างรุนแรงและรวดเร็วในตลาด
    • ลดความเสี่ยงของผู้สร้างสภาพคล่อง: เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวของราคาที่คาดเดาได้ยากในช่วงเวลาดังกล่าว ผู้สร้างสภาพคล่อง (Liquidity Providers) และโบรกเกอร์จะขยาย Spread ออกอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันตนเองจากการขาดทุน
    • ผลกระทบต่อเทรดเดอร์: เทรดเดอร์ที่เปิดสถานะในช่วงเวลานี้อาจต้องแบกรับต้นทุน Spread ที่สูงขึ้นมาก หรืออาจเผชิญกับ Slippage (ราคาคลาดเคลื่อน) ที่รุนแรงกว่าปกติ

ความสำคัญของ Bid และ Ask Price ต่อกลยุทธ์การเทรด

การทำความเข้าใจ Bid และ Ask Price อย่างละเอียดลออมีผลกระทบโดยตรงต่อการตัดสินใจเข้าและออกจากการซื้อขาย รวมถึงการตั้งค่าคำสั่งต่างๆ ซึ่งส่งผลต่อผลกำไรและขาดทุนของเทรดเดอร์โดยตรง

1. การกำหนดจุดเข้า (Entry Point)

  • คำสั่งซื้อ (Buy Order) หรือ Long Position: เมื่อคุณตัดสินใจที่จะ “ซื้อ” คู่สกุลเงิน (เช่น ซื้อ EUR/USD โดยคาดว่า EUR จะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับ USD) คำสั่งซื้อของคุณจะถูกดำเนินการที่ Ask Price เสมอ ไม่ใช่ราคา Bid ที่แสดงบนกราฟหลัก คุณจะต้องจ่ายในราคาที่โบรกเกอร์เสนอขาย
  • คำสั่งขาย (Sell Order) หรือ Short Position: เมื่อคุณตัดสินใจที่จะ “ขาย” คู่สกุลเงิน (เช่น ขาย EUR/USD โดยคาดว่า EUR จะอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับ USD) คำสั่งขายของคุณจะถูกดำเนินการที่ Bid Price เสมอ คุณจะได้รับเงินจากการขายในราคาที่โบรกเกอร์เสนอซื้อ
  • ข้อควรระวัง: เทรดเดอร์มือใหม่มักจะมองเพียงราคาเส้นเดียวบนกราฟ (ซึ่งโดยปกติคือ Bid Price) และพลาดที่จะพิจารณา Ask Price ซึ่งจะทำให้คำนวณจุดเข้าผิดพลาดไปเท่ากับค่า Spread ทันทีที่เปิดสถานะ

2. การกำหนดจุดออก (Exit Point) และ Stop Loss (SL) / Take Profit (TP)

  • การปิดสถานะซื้อ (Close Buy Position): หากคุณเคยเปิดสถานะซื้อไว้ (Long) และต้องการปิดสถานะเพื่อทำกำไรหรือตัดขาดทุน คุณจะต้อง “ขาย” คืนกลับให้โบรกเกอร์ ซึ่งจะดำเนินการที่ Bid Price เท่านั้น
  • การปิดสถานะขาย (Close Sell Position): หากคุณเคยเปิดสถานะขายไว้ (Short) และต้องการปิดสถานะเพื่อทำกำไรหรือตัดขาดทุน คุณจะต้อง “ซื้อ” คืนจากโบรกเกอร์ ซึ่งจะดำเนินการที่ Ask Price เท่านั้น
  • คำสั่ง Stop Loss (SL):
    • สำหรับ สถานะซื้อ (Long Position): คำสั่ง Stop Loss ของคุณจะถูก Trigger เมื่อ Bid Price แตะหรือต่ำกว่าระดับ Stop Loss ที่คุณตั้งไว้
    • สำหรับ สถานะขาย (Short Position): คำสั่ง Stop Loss ของคุณจะถูก Trigger เมื่อ Ask Price แตะหรือสูงกว่าระดับ Stop Loss ที่คุณตั้งไว้
  • คำสั่ง Take Profit (TP):
    • สำหรับ สถานะซื้อ (Long Position): คำสั่ง Take Profit ของคุณจะถูก Trigger เมื่อ Bid Price แตะหรือสูงกว่าระดับ Take Profit ที่คุณตั้งไว้
    • สำหรับ สถานะขาย (Short Position): คำสั่ง Take Profit ของคุณจะถูก Trigger เมื่อ Ask Price แตะหรือต่ำกว่าระดับ Take Profit ที่คุณตั้งไว้
  • ความสำคัญ: การไม่เข้าใจหลักการนี้อาจทำให้คำสั่ง SL/TP ของคุณถูก Trigger ในราคาที่แตกต่างจากที่คุณคาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ Spread กว้างขึ้น

การวิเคราะห์ Spread เพื่อเลือกโบรกเกอร์ Forex ที่เหมาะสม

การเลือกโบรกเกอร์ที่มี Spread ที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจาก Spread คือต้นทุนโดยตรงในการทำกำไร โบรกเกอร์ที่ดีที่สุดสำหรับคุณคือโบรกเกอร์ที่มี Spread ที่ แคบที่สุด (Tightest) และมีความ เสถียร (Stable) มากที่สุด เมื่อพิจารณาจากประเภทของบัญชีและค่าธรรมเนียมอื่นๆ

ประเภทเทรดเดอร์ Spread ที่เหมาะสม เหตุผลและข้อควรพิจารณา
Scalper ต้องเลือกโบรกเกอร์ ECN ที่มี Spread ต่ำสุด Scalper เน้นการเข้าออกตลาดอย่างรวดเร็วและบ่อยครั้ง เพื่อเก็บกำไรเล็กน้อย การจ่าย Spread ที่น้อยที่สุดเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง แม้โบรกเกอร์ ECN จะมีค่าคอมมิชชันต่อล็อต (Commission per Lot) แต่เมื่อรวมกับ Spread ที่ต่ำแล้ว มักจะคุ้มค่ากว่าสำหรับ Scalper
Day Trader เน้น Variable Spread ที่แข่งขันได้ในช่วงเวลาซื้อขายหลัก Day Trader เทรดภายในวันและเปิด/ปิดสถานะหลายครั้งต่อวัน Spread ที่เปลี่ยนแปลงตามสภาพตลาดจริงจะช่วยให้ได้ราคาที่ดีที่สุดในภาวะตลาดปกติ แต่ต้องระมัดระวังการถ่างของ Spread ในช่วงข่าวสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนอย่างมาก ควรเลือกโบรกเกอร์ที่ Spread มีความผันผวนน้อยในช่วงเวลาสำคัญ
Swing Trader Spread มีผลกระทบน้อยกว่า แต่ก็ควรเลือก Spread ที่ต่ำที่สุดเพื่อเพิ่มกำไรสุทธิ Swing Trader ถือสถานะนานหลายวันหรือหลายสัปดาห์ เป้าหมายกำไรจึงใหญ่กว่า Scalper หรือ Day Trader มาก ทำให้ผลกระทบจาก Spread ต่อแต่ละธุรกรรมน้อยลง อย่างไรก็ตาม การเลือกโบรกเกอร์ที่มี Spread ต่ำยังคงช่วยเพิ่มกำไรสุทธิในระยะยาว และควรพิจารณาเรื่อง Swap Rate (ค่าธรรมเนียมการถือสถานะข้ามคืน) ด้วย
Position Trader Spread มีผลกระทบน้อยที่สุด เน้นค่า Swap และความมั่นคงของโบรกเกอร์ Position Trader ถือสถานะนานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน การเปลี่ยนแปลงของ Spread เพียงไม่กี่ pip แทบไม่มีผลต่อผลกำไรโดยรวม สิ่งสำคัญกว่าคือค่า Swap ที่ดีและโบรกเกอร์ที่มีความน่าเชื่อถือสูงในระยะยาว

Slippage (ราคาคลาดเคลื่อน) และผลกระทบจาก Bid/Ask

Slippage (ราคาคลาดเคลื่อน) คือปรากฏการณ์ที่ราคาดำเนินการของคำสั่งซื้อขาย แตกต่าง จากราคาที่เทรดเดอร์ตั้งใจจะเปิดหรือปิดสถานะ โดยอาจได้ราคาที่ดีกว่า (Positive Slippage) หรือแย่กว่า (Negative Slippage) ก็ได้ Slippage มักเกิดขึ้นในช่วงที่มีความผันผวนของตลาดสูง และมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการเคลื่อนไหวของ Bid และ Ask Price

Slippage ในคำสั่ง Buy Limit/Stop

  • Buy Limit: เป็นคำสั่งซื้อที่ตั้งไว้ในราคาที่ ต่ำกว่า ราคาตลาดปัจจุบัน หากตลาดเคลื่อนไหวลงมาอย่างรวดเร็วจน Ask Price กระโดดข้ามราคา Limit ของคุณ อาจเกิด Slippage ทำให้คุณได้ราคาที่ดีขึ้น (ต่ำกว่า) หรือแย่ลงเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับความเร็วในการจับคู่คำสั่งและสภาพคล่องในขณะนั้น
  • Buy Stop: เป็นคำสั่งซื้อที่ตั้งไว้ในราคาที่ สูงกว่า ราคาตลาดปัจจุบัน เมื่อราคาตลาดขึ้นมาแตะระดับ Buy Stop คำสั่งจะถูก Trigger หากตลาดมีความผันผวนสูง Ask Price อาจพุ่งผ่านราคา Stop ของคุณไปอย่างรวดเร็ว ทำให้คุณได้ราคาเข้าซื้อที่สูงกว่าที่ตั้งใจไว้

Slippage ในคำสั่ง Sell Limit/Stop

  • Sell Limit: เป็นคำสั่งขายที่ตั้งไว้ในราคาที่ สูงกว่า ราคาตลาดปัจจุบัน คล้ายกับ Buy Limit หาก Bid Price กระโดดข้ามราคา Limit อาจเกิด Slippage ทำให้ได้ราคาที่ดีขึ้น (สูงกว่า) หรือแย่ลงเล็กน้อย
  • Sell Stop: เป็นคำสั่งขายที่ตั้งไว้ในราคาที่ ต่ำกว่า ราคาตลาดปัจจุบัน เมื่อราคาตลาดลงมาแตะระดับ Sell Stop คำสั่งจะถูก Trigger หาก Bid Price พุ่งลงอย่างรุนแรง อาจเกิด Slippage ทำให้คุณได้ราคาขายที่ต่ำกว่าที่ตั้งใจไว้

บทสรุปเกี่ยวกับ Slippage: Slippage มักเกิดขึ้นในช่วงที่ Spread กว้างขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อมีข่าวสำคัญ หรือช่วงที่ตลาดมีสภาพคล่องต่ำ เนื่องจาก Bid และ Ask Price เคลื่อนไหวรุนแรงจนโบรกเกอร์ไม่สามารถรับประกันราคา ณ จุดที่ตั้งไว้ได้ ซึ่งตอกย้ำความสำคัญของการเลือกโบรกเกอร์ที่มีความน่าเชื่อถือและการทำความเข้าใจกลไกราคาอย่างลึกซึ้ง

บทบาทของ Market Maker vs. ECN/STP ในการกำหนด Bid/Ask และ Spread

รูปแบบการดำเนินการคำสั่ง (Execution Model) ของโบรกเกอร์มีอิทธิพลอย่างมากต่อการกำหนด Bid/Ask Price และขนาดของ Spread ที่เทรดเดอร์ต้องเผชิญ การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างโบรกเกอร์ประเภท Market Maker และ ECN/STP จะช่วยให้คุณเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดและเป้าหมายของคุณได้ดียิ่งขึ้น

1. Market Maker (Dealing Desk)

  • การกำหนด Bid/Ask: โบรกเกอร์ประเภท Market Maker ทำหน้าที่เป็น คู่กรณีโดยตรง (Counterparty) กับเทรดเดอร์ของคุณ หมายความว่าเมื่อคุณเปิดสถานะซื้อ โบรกเกอร์จะทำหน้าที่เป็นผู้ขายให้คุณ และเมื่อคุณเปิดสถานะขาย โบรกเกอร์จะทำหน้าที่เป็นผู้ซื้อจากคุณ โบรกเกอร์ประเภทนี้ กำหนด Spread เอง ซึ่งมักจะเป็น Fixed Spread (สเปรดคงที่) และปรับราคา Bid/Ask เพื่อให้ตรงกับสภาพคล่องภายในของตนเอง
  • แหล่งทำกำไรของโบรกเกอร์: Market Maker จะทำกำไรหลักจาก Spread ที่พวกเขาตั้งขึ้น นอกจากนี้ยังอาจทำกำไรจากสถานะที่เทรดเดอร์ขาดทุน ซึ่งเป็นประเด็นที่มักจะถูกวิพากษ์วิจารณ์
  • ข้อเสีย:
    • อาจเกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (Conflict of Interest): เนื่องจากโบรกเกอร์เป็นคู่กรณีโดยตรง การขาดทุนของเทรดเดอร์อาจหมายถึงกำไรของโบรกเกอร์ ทำให้เกิดข้อกังขาเรื่องความโปร่งใสและยุติธรรมในการดำเนินการคำสั่ง
    • Requotes: ในช่วงตลาดผันผวน อาจเกิด Requotes บ่อยครั้ง ซึ่งทำให้เทรดเดอร์พลาดโอกาสหรือต้องยอมรับราคาที่แย่กว่าที่คาดไว้
  • ข้อดี: เหมาะสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ที่ต้องการความเรียบง่ายและ Spread ที่คาดเดาได้ มักมีบัญชีขนาดเล็กที่เข้าถึงได้ง่าย

2. ECN/STP (Non-Dealing Desk)

  • การกำหนด Bid/Ask: โบรกเกอร์ประเภท ECN (Electronic Communication Network) และ STP (Straight Through Processing) เป็นโบรกเกอร์แบบ Non-Dealing Desk พวกเขาจะส่งคำสั่งซื้อขายของคุณไปยัง ผู้สร้างสภาพคล่อง (Liquidity Providers) หลายรายโดยตรง เช่น ธนาคารขนาดใหญ่, กองทุนเฮดจ์ฟันด์ และโบรกเกอร์รายอื่นๆ Spread ที่เทรดเดอร์เห็นคือ ราคาที่ดีที่สุด ที่มาจากแหล่งสภาพคล่องเหล่านั้นในขณะนั้น ซึ่งเป็น Variable Spread (สเปรดผันผวน)
  • แหล่งทำกำไรของโบรกเกอร์: ECN/STP มักทำกำไรจาก ค่าคอมมิชชัน (Commission) ต่อการเทรด 1 ล็อต แทนที่จะทำกำไรจาก Spread โดยตรง (แม้จะมี Spread อยู่ก็ตาม ซึ่ง Spread นั้นจะแคบมากและเป็นไปตามตลาดจริง)
  • ข้อดี:
    • โปร่งใสสูง: เทรดเดอร์เข้าถึงราคาตลาดระหว่างธนาคาร (Interbank Price) โดยตรง ทำให้การซื้อขายมีความยุติธรรมและโปร่งใสมากขึ้น
    • ไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์: โบรกเกอร์ไม่ได้เป็นคู่กรณีโดยตรงกับเทรดเดอร์ ทำให้ผลประโยชน์ของโบรกเกอร์สอดคล้องกับผลประโยชน์ของเทรดเดอร์ (คือเทรดเดอร์เทรดมาก โบรกเกอร์ก็ได้ค่าคอมมิชชันมาก)
    • ไม่มี Requotes: คำสั่งจะถูกดำเนินการด้วยความเร็วสูงและไม่มี Requotes (แต่ยังคงเกิด Slippage ได้ในบางกรณี)
  • ข้อเสีย: มักจะมีข้อกำหนดเงินทุนเริ่มต้นที่สูงกว่า และอาจมีค่าคอมมิชชันเพิ่มเติม

สรุปและเคล็ดลับการนำ Bid และ Ask Price ไปใช้จริงในการเทรด Forex

การทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับ Bid Price และ Ask Price รวมถึง Spread ที่เกี่ยวข้อง เป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองข้ามได้สำหรับเทรดเดอร์ทุกคนในตลาด Forex ความรู้เหล่านี้คือรากฐานสำคัญในการวางกลยุทธ์การเทรด การบริหารจัดการความเสี่ยง และการคำนวณผลกำไรขาดทุนที่แท้จริง

  • การเปิดสถานะซื้อ (Long Position): คุณจะดำเนินการที่ Ask Price และเมื่อต้องการปิดสถานะ คุณจะต้องขายคืนที่ Bid Price
  • การเปิดสถานะขาย (Short Position): คุณจะดำเนินการที่ Bid Price และเมื่อต้องการปิดสถานะ คุณจะต้องซื้อคืนที่ Ask Price
  • กำไรสุทธิ: กำไรที่คุณเห็นบนหน้าจอแพลตฟอร์มการซื้อขายคือ กำไรขั้นต้น ก่อนที่จะหัก Spread ออกไปจากธุรกรรมการปิดสถานะเสมอ คุณต้องนำ Spread มารวมในการคำนวณจุดคุ้มทุน (Break-even Point) และเป้าหมายกำไรของคุณ
  • การเลือกคู่สกุลเงิน:
    • คู่สกุลเงินที่มี Spread ต่ำ (เช่น Majors) เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่เทรดบ่อยครั้ง เช่น Scalper หรือ Day Trader เพื่อลดต้นทุนการทำธุรกรรม
    • คู่สกุลเงินที่มี Spread สูง (เช่น Exotics หรือ XAU/USD (ทองคำ)) เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ระยะยาว (Swing Trader, Position Trader) ที่มีเป้าหมายกำไรต่อครั้งที่ใหญ่กว่า ทำให้ผลกระทบจาก Spread มีความสำคัญน้อยลง

เคล็ดลับสำคัญสำหรับเทรดเดอร์ทุกคน:

ก่อนเปิดออเดอร์ทุกครั้ง ให้คุณ ตรวจสอบ Bid และ Ask Price บนแพลตฟอร์มการซื้อขายของคุณ (เช่น MetaTrader 4/5) เสมอ โดยการเปิดใช้งาน “แสดงเส้น Ask” เพื่อให้เห็นราคา Ask Line บนกราฟ ซึ่งจะช่วยให้คุณเข้าใจ ต้นทุนจริง ของการทำธุรกรรมและสามารถตัดสินใจเข้าและออกได้อย่างชาญฉลาดมากยิ่งขึ้น

การเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับการคาดเดาทิศทางราคาอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงความสามารถในการเข้าใจกลไกพื้นฐานของตลาด และการบริหารจัดการต้นทุนการซื้อขายอย่างมีประสิทธิภาพ Bid และ Ask Price เป็นประตูบานแรกสู่ความเข้าใจนั้น จงเรียนรู้และประยุกต์ใช้มันอย่างรอบคอบเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในตลาด Forex ที่เต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทาย

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับ Bid Price และ Ask Price ในตลาด Forex

Q1: Bid Price และ Ask Price คืออะไร?

A1: Bid Price คือราคาที่โบรกเกอร์ยินดีจะซื้อสกุลเงินฐานจากเทรดเดอร์ (ราคาที่คุณสามารถขายได้) ส่วน Ask Price (หรือ Offer Price) คือราคาที่โบรกเกอร์ยินดีจะขายสกุลเงินฐานให้กับเทรดเดอร์ (ราคาที่คุณสามารถซื้อได้) โดย Bid Price จะต่ำกว่า Ask Price เสมอ

Q2: Spread (สเปรด) คืออะไร และทำไมจึงสำคัญ?

A2: Spread คือส่วนต่างระหว่าง Ask Price และ Bid Price ซึ่งถือเป็นต้นทุนหลักในการทำธุรกรรมในตลาด Forex มันคือค่าคอมมิชชันแฝงที่คุณจ่ายให้กับโบรกเกอร์ การเข้าใจ Spread สำคัญเพราะมันส่งผลโดยตรงต่อกำไรขาดทุนของคุณ ยิ่ง Spread แคบ ต้นทุนยิ่งต่ำ

Q3: ทำไมเมื่อเปิดออเดอร์ซื้อถึงติดลบทันที?

A3: เมื่อคุณเปิดออเดอร์ซื้อ (Buy) คุณจะซื้อที่ Ask Price แต่เมื่อออเดอร์เปิดขึ้นมา ระบบจะแสดงราคาปัจจุบันบนกราฟซึ่งมักจะเป็น Bid Price (ราคาที่คุณจะขายคืนได้) ช่องว่างระหว่าง Ask Price ที่คุณซื้อกับ Bid Price ที่คุณจะขายคืนได้ทันที คือ Spread ซึ่งเป็นต้นทุนที่คุณต้องจ่าย จึงทำให้ออเดอร์ติดลบทันทีเท่ากับค่า Spread

Q4: Fixed Spread กับ Variable Spread แตกต่างกันอย่างไร?

A4: Fixed Spread คือ Spread ที่มีค่าคงที่ ไม่ว่าจะเกิดสภาวะตลาดแบบใดก็ตาม เหมาะสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ที่ต้องการความแน่นอนของต้นทุน ส่วน Variable Spread คือ Spread ที่มีค่าเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะตลาดจริง (อุปสงค์และอุปทาน) มักจะพบในบัญชี ECN/STP และมีข้อดีคือไม่ค่อยเกิด Requotes แต่ Spread อาจถ่างออกมากในช่วงข่าวสำคัญ

Q5: ปัจจัยใดบ้างที่ทำให้ Spread กว้างขึ้น?

A5: ปัจจัยหลักที่ทำให้ Spread กว้างขึ้น ได้แก่:

  1. สภาพคล่องต่ำ: คู่สกุลเงินที่มีปริมาณการซื้อขายน้อย
  2. ช่วงเวลาตลาดเงียบ: เช่น ช่วงปิดตลาด หรือช่วงวันหยุด
  3. ข่าวเศรษฐกิจสำคัญ: การประกาศข่าวที่มีผลกระทบสูง ทำให้เกิดความผันผวนและความไม่แน่นอน

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมคลิกที่นี

You Might Also Like

Contact Us on Line