1.HEAD & SHOULDERS ลักษณะคล้ายกับหัวของคนและมีไหล่ 2 ข้าง
Head and Shoulders เป็นรูปแบบราคาที่บ่งบอกว่าหุ้นจะกลับตัวเป็นขาลง ซึ่งประกอบด้วย จุดสูงสุด 3 จุด
- จุดสูงสุดจุดที่ 1 เป็นไหล่ซ้าย (Left Shoulder) และจุดสูงสุดที่ 3 ไหล่ขวา (Right Shoulder) มีความสูงใกล้เคียงกัน
- จุดสูงสุดที่ 2 เป็นหัว (Head) มีความสูงที่สุด
- จุดสูงสุดที่ 3 ซึ่งมีจุดยอดที่ต่ำกว่าหัว (Head) นั่นหมายความว่าราคาไม่สามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ หรือ แนวโน้มขาขึ้นได้จบลงแล้วนั่นเอง
2.RISING WEDGE มักเกิดจากเส้นแนวโน้มที่กำลังเพิ่มขึ้น 2 อัน ที่เข้าหากัน รูปแบบส่งสัญญาณถึงความผันผวนหรือความเคลื่อนไหวของราคาเมื่อมันเข้าใกล้ช่องแคบสิ้นสุด ราคาทะลุกรอบบน rising wedge มักเกิดขึ้นหรือด้านล่าง ซึ่งสร้างรูปแบบ Bearish
3.DOUBLE BOTTOM ลักษณะเป็น Sideway โดยลงมาในโซนเดิม (แนวรับ) ถึง 2 ครั้ง เกิดที่ด้านล่างของแนวโน้มขาลง ส่งสัญญาณการสิ้นสุดของมัน ทริกเกอร์สัญญาณเกิดขึ้นเมื่อราคาเข้าใกล้ข้างบนเส้นคอ triple bottom คือรูปแบบหายากของ double bottom ที่มีจุดต่ำสุดคล้ายกัน 3 อัน
4.TRIPLE TOP แพทเทิร์น Triple top เป็นรูปแบบกราฟที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่นิยมใช้เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิค เนื่องจากเป็นแพทเทิร์นที่ใช้คาดการณ์จังหวะการกลับตัวของราคาล่วงหน้าได้ โดยที่มาของชื่อ “Triple top” นั้นมาจากลักษณะของแพทเทิร์นที่มีจุดยอด หรือจุด High ที่เท่าๆ กันถึง 3 จุด ซึ่งเป็นตัวบ่งบอกว่าราคาอาจไม่สามารถพุ่งทะลุระดับดังกล่าวขึ้นต่อไปได้อีก จึงมีโอกาสที่ราคาอาจกลับตัวลงในที่สุด
ข้อดีของแพทเทิร์น Triple top ก็คือท่านสามารถใช้กราฟรูปแบบนี้เทรดได้ทุกกรอบเวลา (Timeframe) เลยทีเดียว และแน่นอนว่าเมื่อมี Triple top แล้วก็ต้องมี Triple bottom ด้วยจริงไหมล่ะครับ? แต่ที่แตกต่างกันก็คือกราฟ Triple bottom จะบ่งบอกว่าราคาอาจไม่สามารถย่อลงต่ำกว่านั้นได้อีกแล้ว และมีโอกาสที่ราคาอาจกลับตัวขึ้นนั่นเอง แต่ในบทความวันนี้ เราจะมาพูดคุยเกี่ยวกับกราฟ Triple top พร้อมเทคนิคเทรดด้วยกราฟดังกล่าว
หลักการทำงานของแพทเทิร์น Triple Top
อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่าแพทเทิร์นนี้ประกอบไปด้วยจุดยอดของกราฟทั้งหมด 3 จุดที่อยู่เหนือเส้นแนวรับสำคัญ โดยจุดยอดทั้ง 3 จุดนั้นจะอยู่ ณ ระดับราคาเดียวกัน และเชื่อมต่อกันเป็นเส้นแนวต้านของกรอบที่ราคาเด้งขึ้นลงหรือที่เรียกว่า Swing low นั่นเอง เมื่อกราฟเกิดจุด High ทั้งหมด 3 จุดที่เท่ากันแล้ว เทรดเดอร์จะต้องรอให้ราคาร่วงทะลุแนวรับลงไปให้ได้ และก็คงไม่แปลกหากเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์การเทรดมาพอสมควรจะมองว่ารูปแบบ Triple top นั้นคล้านกับแพทเทิร์น Head and shoulder เนื่องจากรูปแบบทั้ง 2 มีจุดยอดของกราฟ 3 จุดเช่นเดียวกัน แต่ที่แตกต่างกันชัดเจนเลยก็คือในกราฟ Triple top จุดยอดนั้นจะอยู่ในระดับเดียวกันทั้งหมด ในขณะที่จุดยอดตรงกลางของกราฟ Head and shoulder จะอยู่ระดับสูงกว่าจุดยอดอีก 2 จุดนั่นเอง
5.TRIPLE BOTTOM ลักษณะ เป็นกราฟที่พบในแนวโน้มขาลง เมื่อมี Triple bottom เกิดขึ้นให้คาดการณ์ว่า ราคาอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มขาลงเป็นแนวโน้มขาขึ้น
พฤติกรรมของ Triple Bottom ลักษณะเช่นเดียวกันกับ Double Bottom เกือบทุกประการ ลักษณะกราฟจะเป็นเทรนขาลงมาก่อนจนมาเจอแนวรับและที่สำคัญไม่สามารถผ่านได้ ก่อนที่จะเป็น Triple Bottom กราฟจะฟอร์มตัวเป็น Double Bottm ก่อน แล้วก็จะทำทีท่าว่าจะทะลุเพื่อกลับตัวแต่แล้วก็เด้งกลับลงไปอีกรอบ ทำให้สร้างจุดต่ำสุดถึง 3 ครั้ง บริเวณเดียวกัน ซึ่งบริเวณดังกล่าว อาจจะเหลื่อมๆกันนิดหน่อยแต่ก็ไม่มากมายนัก ผลสุดท้ายก็ไม่สามารถผ่านแนวรับไปได้จนดีดตัวขึ้นไปถึงช่วง Neckline สุดท้าย ก็ร่วงทะลุ Neckline และกลับตัวในที่สุด
6.DOUBLE TOP เป็นรูปแบบกราฟราคาย้อนกลับที่สามารถเห็นได้ในทุกกรอบเวลา จะเกิดขึ้นเมื่อกราฟราคาขยับขึ้นเป็นเวลานาน กราฟราคาที่ยอดเขาหรือที่จุดสูงสุดมีการสวิงราคาเกิดขึ้นเมื่อกราฟราคาถึงระดับแนวต้านที่แน่นอนซึ่งโดยมากมันไม่สามารถทะลุแนวต้านได้จึงเกิดการย้อนกลับ
double top คือแพทเทิร์นที่นิยมมากที่สุดในการเทรด เป็นแพทเทิร์นการกลับตัวที่เชื่อถือได้ สามารถใช้ในการเข้าซื้อสถานะขาลงหลังจากเทรนด์ขาขึ้น ประกอบไปด้วย 2 ยอดที่เกือบจะอยู่ในแนวเดียวกันและมีร่องอยู่ตรงกลาง ซึ่งทำให้เกิดเส้นแนวรับหรือ neckline ขึ้นมา ยอดที่สองจะไม่ทะลุแนวระดับของยอดแรก ดังนั้นราคาจึงกลับมาทดสอบที่แนวระดับนี้อีกครั้งและพยายามที่จะทำจุดสูงสุดที่สูงขึ้นแต่ไม่สำเร็จ ราคาที่ทะลุเส้นแนวรับหรือ neckline และปิดใต้แนวราคาจะถือว่าเป็นแพทเทิร์นที่สมบูรณ์
องค์ประกอบของรูปแบบ Triple Bottom
- กราฟเป็นเทรนขาลงมาก่อน
- มีการฟอร์มตัวลักษณะเหมือน Double Bottom มาก่อนแต่ไม่สามารถร่วงทะลุแนวรับ ได้
- จุดต่ำสุดต้องมี 3 จุด โดย 3 จุด ระยะไม่ห่างกันมากนัก
- มักเกิดบริเวณแนวรับที่สำคัญ
7.INVERTED HEAD & SHOULDERS คล้ายกับหัวคนและมีไหล่ 2 ข้าง แต่กลับหัว ตัวนี้มีโอกาสที่จะเปลี่ยนเทรนด์เป็นขาขึ้นได้
ขั้นตอนการเกิดกลับหัว
– เมื่อราคาเคลื่อนที่มาถึง Left Shoulder (ไหล่ซ้าย) ราคาจะอ่อนแรงลง แล้วราคาจะขึ้นมาที่ Neckline (สร้อยคอ)
– ผู้คนเทขายอีกครั้ง ทำให้ราคาตกลงไปทำจุดต่ำสุดใหม่เป็นตำแหน่ง Head (หัว)
-หลังจากนั้นราคาตกลงมาครั้งที่ Neckline (สร้อยคอ)
-ผู้คนเข้าขายอีกครั้ง แต่การเทขายครั้งนี้อ่อนแรงลง ทำให้ราคาลงไปไม่ต่ำเท่าจุด Head (หัว) จนกลายเป็นตำแหน่ง Right Shoulder (ไหล่ขวา)
-หลังจากนั้นราคาขึ้นไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ราคาสามารถทะลุ Neckline (สร้อยคอ) ขึ้นไปได้
-หลังจากที่ราคาทะลุ Neckline (สร้อยคอ) ขึ้นไปได้ ทำให้มีผู้คนแห่ซื้อ เพราะคิดว่าราคามีการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มแล้ว จึงทำให้ราคาขึ้นไปอย่างรุนแรงจนแนวโน้มเดิมกลับตัว
ส่วนประกอบของ Head And shoulders กลับหัว
- Left Shoulder (ไหล่ซ้าย)
- Head (หัว)
- Right Shoulder (ไหล่ขวา)
- Neckline (สร้อยคอ)
8.FALLING WEDGE เป็นรูปแบบกรอบราคาที่บอกสัญญาณขาขึ้น ทำให้เทรดเดอร์ทราบได้ว่ามีโอกาสที่ราคาอาจปรับตัวขึ้นในไม่ช้า โดยแพทเทิร์นนี้เป็นรูปแบบกราฟต่อเนื่อง (Continious pattern) ที่เกิดจากการลากเส้นแนวโน้ม (เทรนด์ไลน์) ระหว่างจุดสูงสุดหลายๆ จุด และจุดต่ำสุดหลายๆ ระดับ ทั้งหมด 2 เส้นซึ่งลู่เข้าหากัน โดยมีราคาแกว่งตัวอยู่ในกรอบเทรนด์ไลน์นั้น
องค์ประกอบของรูปแบบ Falling Wedge
- กราฟเป็นเทรนขาลงมาก่อน
- มีการเกิด จุดสูงสุดต่ำสุด ลดระดับลงเรื่อยๆ อาจเกิดขึ้นมากกว่า 2-3 ครั้ง
- จุดต่ำสุดและสูงสุดจะมีระยะห่างกันไม่มากนัก
- มักเกิดบริเวณแนวรับที่สำคัญ
#แจกฟรีระบบเทรด